พอฉันได้อ่านข่าวที่เพื่อนส่งมาให้ทางอีเมล์ ฉันเกิดความคิดขี้นมาได้ว่า ต้องเขียนอะไรขึ้นมาซักอย่าง เพื่อกระตุ้นเตือนคนเขียนข่าวนี้ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในข่าว ทั้งคนที่ทำการสำรวจบทบาทของคุณพ่อที่เป็นต้นเหตุของเรื่อง ทำให้คนที่มีความหลากหลายทางเพศตกเป็นจำเลยของสังคมอีกครั้ง ฉันได้มีโอกาสอ่านบทความในนิตยสารใกล้หมอซึ่งถูกเขียนโดยนายแพทย์ท่านหนึ่ง เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2542 จะเห็นได้ว่า ความเข้าใจของสังคมนั้น ยังไม่เคยเปลี่ยน ยังคงคิดว่าบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ หรือ เกย์ กะเทย ทอม ดี้ ในความเข้าใจของคนส่วนใหญ่ หรือ ที่ใครหลายคนพยายามใช้คำว่า “เพศที่สาม” ในความหมายใกล้เคียงในเชิงลบนั้น เป็นกลุ่มคนที่ผิดปกติ เป็นปัญหาสังคมที่ควรได้รับการแก้ไข เป็นสาเหตุของครอบครัวที่มีปัญหา และผลักภาระความรับผิดชอบที่วิธีการเลี้ยงดูบุตรของคนที่เป็นพ่อแม่
ในข่าวที่เพื่อนส่งมาให้นั้นได้กล่าวในตอนต้นว่า ผลสำรวจจากสำนักวิจัยที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งพบว่าพ่อ 70% ทำงานเกิน 8 ชั่วโมง มีเวลาพูดคุยกับลูกเพียงวันละ 50 นาที แพทย์ชี้ พ่อคุยกับลูกน้อย หวั่นเกิดเพศที่ 3 สูงขึ้น เด็กมีแนวโน้มใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา ฟันแล้วทิ้ง มีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย ฉันได้แต่ตั้งคำถามว่า ตกลงว่าการเกิดเป็นคนที่มีความหลากหลายทางเพศ นั้นเป็นปัญหา ของครอบครัว และสังคม นอกจากนั้นพ่อที่ไม่มีเวลาเลี้ยงลูกก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกเป็นคนที่มีความหลากหลายทางเพศ แล้วทำไมไม่มีใครคิดในมุมกลับกันบ้างว่า สังคมที่มีอคติต่อคนที่มีความหลากหลายทางเพศเป็นปัญหา เพราะสังคมที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ และมีความคิดในเชิงลบกับคนที่แตกต่างจากสมาชิกส่วนใหญ่ในสังคมนั้น มักเป็นต้นเหตุของการแบ่งแยก เกิดการเหมารวมว่ากลุ่มคนเหล่านั้นเป็นตัวปัญหา และเกิดปัญหาละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างไม่จบสิ้น
ฉันไม่เห็นว่าการเป็นคนที่มีความหลากหลายทางเพศในครอบครัวจะเป็นปัญหาแต่อย่างใด และไม่สามารถนำไปเปรียบเทียบกับปัญหาเรื่องการใช้ความรุนแรง การตั้งครรภ์เมื่อไม่พร้อม และการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย แล้วทำไมการสำรวจดังกล่าวจึงระบุว่าการเป็นคนที่มีความหลากหลายทางเพศเป็นปัญหาไปได้ ทั้งยังให้ความสำคัญกับประเด็นดังกล่าวมากกว่าปัญหาอื่นๆ ยิ่งทำให้เห็นว่าสังคมไทยยังไม่พร้อมจะเปิดใจยอมรับคนที่มีความหลากหลายทางเพศเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกในสังคม แม้ว่าปัจจุบันจะมีภาพปรากฏของคนที่มีความหลากหลายทางเพศในสื่อต่างๆ มีการประกวดสาวประเภทสองที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก และมีคนที่มีความหลากหลายทางเพศที่เป็นที่ยอมรับในสังคมจำนวนไม่น้อย หากแต่คนเหล่านั้นจะถูกมองอย่างไร เนื่องจากคนในสังคมยังมีกรอบเรื่องเพศแบ่งคนเป็น 2 เพศคือ เพศชาย และเพศหญิง อีกทั้งยังรวมคนที่เป็นเพศอื่นๆไว้ด้วยกัน และเรียกพวกเขาว่า เพศที่สาม ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ไม่ได้มีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกับสองเพศแรก คงจะไม่ต้องตอบคำถามว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่มีความหลากหลายทางเพศ และคนที่มีความหลากหลายทางเพศที่มีสถานะบทบาททางสังคมที่ด้อยกว่าจะประสบปัญหาการแบ่งแยกกีดกันมากมายเพียงใด
ฉันกลับเห็นใจองค์กรที่ทำงานกับกลุ่มคนที่มีหลากหลายทางเพศ ที่พยายามสร้างความเข้าใจและยอมรับกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ จากครอบครัว ชุมชน และสังคม นอกจากนี้ยังพยายามสร้างความภูมิใจในตัวตนของคนที่เกิดมาเป็นผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศที่มักจะถูกกดทับจากอคติ และมายาคติในสังคม เผลอคิดแทนไปว่า เมื่อพวกเขาได้อ่านข่าวในลักษณะนี้แล้ว จะรู้สึกท้อใจเพียงใด และคงต้องทำงานกันเหนื่อยต่อไปอีกเท่าไร เพื่อจะทำให้คนในสังคมเข้าใจว่าความหลากหลายทางเพศเป็นธรรมชาติ และสร้างการรับรู้ว่าคนคนหนึ่งมีสิทธิเสรีภาพในการเลือกเพศของตนได้อย่างอิสระ
ฉันยังสงสารคนที่มีบทบาทของความเป็นพ่อที่ถูกพาดพิง เสมือนเป็นต้นเหตุที่ทำให้ลูกเป็นคนที่มีความหลากหลายทางเพศนั้น เป็นฝ่ายที่ต้องรับภาระ และความผิดหวังที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนผิด หากลูกจะเลือกเป็นคนที่มีความหลากหลายทางเพศ และไม่ได้เป็นไปตามที่สังคมคาดหวัง จนทำให้บางครั้งการที่ลูกเป็นคนที่มีความหลากหลายทางเพศ เป็นสิ่งที่พ่อยอมรับในตัวลูกไม่ได้ และตามมาด้วยปัญหาในครอบครัวนานานัปการ เช่น การกระทำรุนแรงต่อคนที่เป็นลูกจากพ่อแม่ที่ไม่เข้าใจ และไม่ยอมรับในลูกที่เป็นคนรักเพศเดียวกัน จนกระทั่งนำไปสู่ปัญหาครอบครัวแตกแยก และไม่มีความสุข อย่างไรก็แล้วแต่บทบาทของคนเป็นพ่อในการช่วยเลี้ยงลูกที่ระบุในข่าวดังกล่าวนั้น ฉันกลับเห็นว่าไม่สามารถใช้ความเป็นเพศมาระบุว่าผู้ชายที่เป็นพ่อควรจะปฏิบัติตาม หากแต่ผู้หญิงที่เป็นแม่ หรือใครเพศใดจะเป็นผู้ปกครองของเด็กคนหนึ่ง และคนในครอบครัวควรจะปฏิบัติตามเพื่อความผาสุกของคนในครอบครัว ไม่ว่าบุตรหลานในครอบครัวจะเป็นเพศใด ความรัก ความเข้าใจของคนที่เป็นพ่อแม่ และญาติผู้ใหญ่ล้วนแต่เป็นสิ่งสำคัญ และเป็นพลังในการดำเนินชีวิตในสังคมให้กับบุตรหลาน
การเป็นคนรักเพศเดียวกัน หรือคนที่มีความหลากหลายทางเพศไม่ใช่ปัญหาของครอบครัว หากพ่อแม่รัก ยอมรับลูก และเคารพในการตัดสินใจในเพศที่ลูกเลือกแล้ว ก็จะเป็นกำลังใจสำคัญสำหรับบุคคลที่เป็นคนที่มีความหลากหลายทางเพศ เพื่อต่อสู้กับอคติของสังคมที่เปลี่ยนแปลงได้ยาก สังคมที่ยังมองว่าความหลากหลายทางเพศเป็นปัญหา และคนที่มีความหลากหลายทางเพศเป็นคนผิดปกติ เมื่อใดครอบครัวยอมรับในตัวบุตรหลานที่เป็นคนที่มีความหลากหลายทางเพศได้ เมื่อนั้นครอบครัวก็จะเต็มไปด้วยความสุขทั้งตัวผู้ที่เป็นผู้ปกครอง และคนที่เป็นบุตรหลาน
สุดท้ายนี้ ฉันอยากจะฝากบอกท่านผู้อ่าน และใครก็ตามที่เป็นห่วงว่าสังคมไทย จะเต็มไปด้วยคนที่มีความหลากหลายทางเพศแบบฉัน รับรู้ว่าพวกเขาควรจะสอนลูกของเขา ให้รู้ว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ดี และควรทำ โดยไม่ระบุว่าเพศใดควรจะทำอะไร เพราะนั้นจะช่วยลดอคติแห่งเพศ อันเป็นรากฐานของปัญหาความรุนแรง ปัญหาการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย และปัญหาสังคมต่างๆ และฉันก็เป็นคนหนึ่งที่อยากเห็นสังคมไทยมีความเสมอภาค และเท่าเทียม โดยไม่ใช้เหตุของความเป็นเพศมาแบ่งแยกว่าใครควรจะทำอะไร ภายใต้สถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศของเราที่ไม่มีทีท่าว่าจะจบสิ้น เชื่อเถอะว่าครอบครัวที่เป็นหน่วยย่อยของสังคม และเป็นครอบครัวที่เปี่ยมไปด้วยความรักความเข้าใจย่อมนำมาซึ่งชุมชนที่เข้มแข็ง และสังคมที่สงบสุข
ในข่าวที่เพื่อนส่งมาให้นั้นได้กล่าวในตอนต้นว่า ผลสำรวจจากสำนักวิจัยที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งพบว่าพ่อ 70% ทำงานเกิน 8 ชั่วโมง มีเวลาพูดคุยกับลูกเพียงวันละ 50 นาที แพทย์ชี้ พ่อคุยกับลูกน้อย หวั่นเกิดเพศที่ 3 สูงขึ้น เด็กมีแนวโน้มใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา ฟันแล้วทิ้ง มีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย ฉันได้แต่ตั้งคำถามว่า ตกลงว่าการเกิดเป็นคนที่มีความหลากหลายทางเพศ นั้นเป็นปัญหา ของครอบครัว และสังคม นอกจากนั้นพ่อที่ไม่มีเวลาเลี้ยงลูกก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกเป็นคนที่มีความหลากหลายทางเพศ แล้วทำไมไม่มีใครคิดในมุมกลับกันบ้างว่า สังคมที่มีอคติต่อคนที่มีความหลากหลายทางเพศเป็นปัญหา เพราะสังคมที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ และมีความคิดในเชิงลบกับคนที่แตกต่างจากสมาชิกส่วนใหญ่ในสังคมนั้น มักเป็นต้นเหตุของการแบ่งแยก เกิดการเหมารวมว่ากลุ่มคนเหล่านั้นเป็นตัวปัญหา และเกิดปัญหาละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างไม่จบสิ้น
ฉันไม่เห็นว่าการเป็นคนที่มีความหลากหลายทางเพศในครอบครัวจะเป็นปัญหาแต่อย่างใด และไม่สามารถนำไปเปรียบเทียบกับปัญหาเรื่องการใช้ความรุนแรง การตั้งครรภ์เมื่อไม่พร้อม และการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย แล้วทำไมการสำรวจดังกล่าวจึงระบุว่าการเป็นคนที่มีความหลากหลายทางเพศเป็นปัญหาไปได้ ทั้งยังให้ความสำคัญกับประเด็นดังกล่าวมากกว่าปัญหาอื่นๆ ยิ่งทำให้เห็นว่าสังคมไทยยังไม่พร้อมจะเปิดใจยอมรับคนที่มีความหลากหลายทางเพศเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกในสังคม แม้ว่าปัจจุบันจะมีภาพปรากฏของคนที่มีความหลากหลายทางเพศในสื่อต่างๆ มีการประกวดสาวประเภทสองที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก และมีคนที่มีความหลากหลายทางเพศที่เป็นที่ยอมรับในสังคมจำนวนไม่น้อย หากแต่คนเหล่านั้นจะถูกมองอย่างไร เนื่องจากคนในสังคมยังมีกรอบเรื่องเพศแบ่งคนเป็น 2 เพศคือ เพศชาย และเพศหญิง อีกทั้งยังรวมคนที่เป็นเพศอื่นๆไว้ด้วยกัน และเรียกพวกเขาว่า เพศที่สาม ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ไม่ได้มีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกับสองเพศแรก คงจะไม่ต้องตอบคำถามว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่มีความหลากหลายทางเพศ และคนที่มีความหลากหลายทางเพศที่มีสถานะบทบาททางสังคมที่ด้อยกว่าจะประสบปัญหาการแบ่งแยกกีดกันมากมายเพียงใด
ฉันกลับเห็นใจองค์กรที่ทำงานกับกลุ่มคนที่มีหลากหลายทางเพศ ที่พยายามสร้างความเข้าใจและยอมรับกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ จากครอบครัว ชุมชน และสังคม นอกจากนี้ยังพยายามสร้างความภูมิใจในตัวตนของคนที่เกิดมาเป็นผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศที่มักจะถูกกดทับจากอคติ และมายาคติในสังคม เผลอคิดแทนไปว่า เมื่อพวกเขาได้อ่านข่าวในลักษณะนี้แล้ว จะรู้สึกท้อใจเพียงใด และคงต้องทำงานกันเหนื่อยต่อไปอีกเท่าไร เพื่อจะทำให้คนในสังคมเข้าใจว่าความหลากหลายทางเพศเป็นธรรมชาติ และสร้างการรับรู้ว่าคนคนหนึ่งมีสิทธิเสรีภาพในการเลือกเพศของตนได้อย่างอิสระ
ฉันยังสงสารคนที่มีบทบาทของความเป็นพ่อที่ถูกพาดพิง เสมือนเป็นต้นเหตุที่ทำให้ลูกเป็นคนที่มีความหลากหลายทางเพศนั้น เป็นฝ่ายที่ต้องรับภาระ และความผิดหวังที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนผิด หากลูกจะเลือกเป็นคนที่มีความหลากหลายทางเพศ และไม่ได้เป็นไปตามที่สังคมคาดหวัง จนทำให้บางครั้งการที่ลูกเป็นคนที่มีความหลากหลายทางเพศ เป็นสิ่งที่พ่อยอมรับในตัวลูกไม่ได้ และตามมาด้วยปัญหาในครอบครัวนานานัปการ เช่น การกระทำรุนแรงต่อคนที่เป็นลูกจากพ่อแม่ที่ไม่เข้าใจ และไม่ยอมรับในลูกที่เป็นคนรักเพศเดียวกัน จนกระทั่งนำไปสู่ปัญหาครอบครัวแตกแยก และไม่มีความสุข อย่างไรก็แล้วแต่บทบาทของคนเป็นพ่อในการช่วยเลี้ยงลูกที่ระบุในข่าวดังกล่าวนั้น ฉันกลับเห็นว่าไม่สามารถใช้ความเป็นเพศมาระบุว่าผู้ชายที่เป็นพ่อควรจะปฏิบัติตาม หากแต่ผู้หญิงที่เป็นแม่ หรือใครเพศใดจะเป็นผู้ปกครองของเด็กคนหนึ่ง และคนในครอบครัวควรจะปฏิบัติตามเพื่อความผาสุกของคนในครอบครัว ไม่ว่าบุตรหลานในครอบครัวจะเป็นเพศใด ความรัก ความเข้าใจของคนที่เป็นพ่อแม่ และญาติผู้ใหญ่ล้วนแต่เป็นสิ่งสำคัญ และเป็นพลังในการดำเนินชีวิตในสังคมให้กับบุตรหลาน
การเป็นคนรักเพศเดียวกัน หรือคนที่มีความหลากหลายทางเพศไม่ใช่ปัญหาของครอบครัว หากพ่อแม่รัก ยอมรับลูก และเคารพในการตัดสินใจในเพศที่ลูกเลือกแล้ว ก็จะเป็นกำลังใจสำคัญสำหรับบุคคลที่เป็นคนที่มีความหลากหลายทางเพศ เพื่อต่อสู้กับอคติของสังคมที่เปลี่ยนแปลงได้ยาก สังคมที่ยังมองว่าความหลากหลายทางเพศเป็นปัญหา และคนที่มีความหลากหลายทางเพศเป็นคนผิดปกติ เมื่อใดครอบครัวยอมรับในตัวบุตรหลานที่เป็นคนที่มีความหลากหลายทางเพศได้ เมื่อนั้นครอบครัวก็จะเต็มไปด้วยความสุขทั้งตัวผู้ที่เป็นผู้ปกครอง และคนที่เป็นบุตรหลาน
สุดท้ายนี้ ฉันอยากจะฝากบอกท่านผู้อ่าน และใครก็ตามที่เป็นห่วงว่าสังคมไทย จะเต็มไปด้วยคนที่มีความหลากหลายทางเพศแบบฉัน รับรู้ว่าพวกเขาควรจะสอนลูกของเขา ให้รู้ว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ดี และควรทำ โดยไม่ระบุว่าเพศใดควรจะทำอะไร เพราะนั้นจะช่วยลดอคติแห่งเพศ อันเป็นรากฐานของปัญหาความรุนแรง ปัญหาการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย และปัญหาสังคมต่างๆ และฉันก็เป็นคนหนึ่งที่อยากเห็นสังคมไทยมีความเสมอภาค และเท่าเทียม โดยไม่ใช้เหตุของความเป็นเพศมาแบ่งแยกว่าใครควรจะทำอะไร ภายใต้สถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศของเราที่ไม่มีทีท่าว่าจะจบสิ้น เชื่อเถอะว่าครอบครัวที่เป็นหน่วยย่อยของสังคม และเป็นครอบครัวที่เปี่ยมไปด้วยความรักความเข้าใจย่อมนำมาซึ่งชุมชนที่เข้มแข็ง และสังคมที่สงบสุข
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น