ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

5 เหตุผลทำไมเราจึงต้องพูดเรื่องการเปลี่ยนคำนำหน้านามของหญิงและชายข้ามเพศ (ในประเทศไทย)

ทำไมเราจึงต้องมาพูดเรื่องการเปลี่ยนคำนำหน้านามของหญิงและชายข้ามเพศ:

1. เพราะเพศไม่ได้จำกัดแค่ชายและหญิง ประเทศไทยได้รับการยอมรับจากนานาชาติว่าเป็นประเทศที่ให้การยอมรับกับคนที่มีความหลากหลายทางเพศในเชิงสังคมวัฒนธรรม ถึงขั้นคนต่างชาติยกย่องให้เป็น "the paradise of LGBT" หรือ ''สวรรค์ของเกย์ ชายรักชาย กะเทย คนข้ามเพศ ทอมดี้ หญิงรักหญิง และคนรักสองเพศ" ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะเปลี่ยนผ่านจากการยอมรับเชิงสังคมวัฒนธรรมเป็นการยอมรับเชิงกฎหมายเพื่อสร้างความเท่าเทียมให้กับคนทุกเพศในสังคมไทย

2.การเปลี่ยนคำนำหน้านามของคนข้ามเพศในเอกสารราชการไม่ได้เป็น "สิทธิพิเศษ" น้อยครั้งมากที่บุคคลที่นิยามตัวเองว่าชายหรือหญิงจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ตนถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่อง "ตัวตนทางเพศ" ของตนเองจากเจ้าหน้าที่ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง (ในต่างประเทศ) และบุคคลทั่วไป เพราะตัวตนทางเพศไม่ได้ดูขัดแย้งกับคำนำหน้านามในบัตรประชาชน หนังสือเดินทาง และเอกสารสำคัญทางราชการ ในทางตรงกันข้าม กะเทย และคนข้ามเพศจะต้องตอบคำถามจากคนอีกจำนวนมากถึงความเป็นเพศ ตัวตนทางเพศ และเนื้อตัวร่างกายของตน ดังนั้น การเปลี่ยนคำนำหน้านามของคนข้ามเพศจึงเป็นการคืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และเป็นประชาชนคนหนึ่งในสังคมไทย ... การถูกตั้งคำถามถึงเรื่องเพศควรต้องมาพร้อมกับอำนาจในการตัดสินใจว่าสะดวกใจตอบหรือไม่ตอบ การถูกบังคับให้อธิบายความเป็นเพศของตนเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน เพราะหลักการพื้นฐานทางสิทธิที่ว่า "All human beings are born free and equal in dignity and rights - มนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความเป็นอิสระและเท่าเทียมกันในศักดิ์ศรีและสิทธิ"

3. อาการกังวลว่าคนข้ามเพศจะไปหลอกคู่ของตัวเองว่าตนเป็นชายหรือหญิงจริงแท้เป็นอาการเกลียดกลัวคนข้ามเพศ (Transphobia) ซึ่งเกิดจากอคติเกี่ยวกับความเป็นเพศ และความเชื่อเรื่องเพศที่มีเพียงสองเพศคือ ชายและหญิง ที่ยึดโยงกับเพศสรีระมากกว่าการให้ความหมายเพศทางวัฒนธรรม ซึ่งไม่ควรนำมาเป็นประเด็นในการพิจารณาผ่านกฎหมายรับรองเพศสภาพของคนข้ามเพศ เพราะเอาเข้าจริงการโกหกและหลอกลวงเกิดกับคนทุกเพศ ไม่เว้นแม้แต่ชายหรือหญิง นอกจากนี้ความเป็นเพศอะไรก็ไม่ควรถูกมาใช้เป็นเครื่องพิสูจน์ความรักของคู่รัก และถ้าคิดในความเป็นจริงที่ว่าจะมีกะเทยซักกี่คนในประเทศไทยที่จะมีคนรอบข้างเพียง 1 คนไม่สามารถบอกได้ว่าเธอเป็นเพศอะไร และสุดท้ายทำไมเราจึงอยากรู้ว่าใครเป็นเพศอะไร มันช่วยให้ความสัมพันธ์ของเรากับคนคนนั้นดีขึ้นอย่างไรกัน สังคมไทยควรเรียนรู้ที่จะเคารพอำนาจการตัดสินใจของคนคนหนึ่งต่อความเป็นเพศของเขาเองโดยไม่ตั้งคำถามกลับ เพราะมันไม่ทำให้เกิดประโยชน์อะไร สุดท้ายจงอย่าลืมว่าอาการเกลียดกลัวคนข้ามเพศนี้เป็นทางเลือก เราเลือกที่จะเกลียดคนคนหนึ่งหรือไม่เกลียดคนคนหนึ่งจากอคติของเราเอง ... ส่วนการเกิดมาเป็นกะเทยหรือคนข้ามเพศนั้นเกิดขึ้นเอง กรณีเหล่านี้เป็นกรณีเดียวกับการที่คิดว่าชายไทยจะแปลงเพศเพื่อหนีทหาร หรือหนีความผิดทางกฎหมาย จงอย่าลืมว่า การเป็นกะเทยไม่ได้เป็นง่ายๆ ตื่นขึ้นมาเป็นกะเทยเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ชั่วข้ามคืน

4. ชวนพูดเรื่องตัวบทกฎหมายบ้างว่าทำไมการเปลี่ยนคำนำหน้านามจึงไม่ควรเลือกปฏิบัติโดยการให้สิทธิคนที่ผ่านการผ่าตัดแปลงเพศเพียงเท่านั้น ขอแบ่งเป็นข้อย่อยๆดังนี้

4.1 กะเทยและคนข้ามเพศจำนวนหนึ่งไม่ต้องการเปลี่ยนเพศ อวัยวะเพศไม่ควรถูกใช้เป็นเครื่องตัดสินความเป็นเพศ และการตัดสินใจเปลี่ยนเนื้อตัวร่างกายคือสิทธิของกะเทยและคนข้ามเพศ ฉะนั้นการตัดสินความเป็นเพศไม่ควรถูกทำผ่านวาทกรรมทางการแพทย์

4.2 การเข้าถึงศัลยกรรม การเปลี่ยนเพศ และการใช้ฮอร์โมน ล้วนแล้วแต่ต้องใช้เงิน ดังนั้นกระบวนการทางการเปลี่ยนแปลงสรีระจึงจำกัดเพียงคนกลุ่มหนึ่งที่มีทุนทางสังคม และสามารถเข้าถึงกระบวนการดังกล่าวได้อย่างต่อเนื่อง ... จงอย่าลืมว่ากะเทยและคนข้ามเพศจำนวนมากในประเทศที่ "ชาวนาเป็นกระดูกสันหลังของชาติ" ยังประสบปัญหาการหางาน การจ้างงานที่ไม่เป็นธรรมจากนายจ้าง การเลือกปฎิบัติทางสังคม และการประสบปัญหาความรุนแรงเชิงโครงสร้างในสังคมไทย ที่ทำให้กะเทยและคนข้ามเพศจำนวนมากมีรายได้น้อย หรือ มีรายได้ที่ต่ำกว่าระดับการศึกษาและความสามารถของตน ดังนั้นการที่จะใช้เงินเพื่อการเข้าถึงกระบวนการทางการแพทย์เพื่อเปลี่ยนแปลงสรีระจึงเป็นเรื่องไม่ง่ายสำหรับกะเทยและคนข้ามเพศที่ประสบปัญหาความยากจน และกะเทยชนชั้นแรงงาน

4.3 ระบบทางการแพทย์ และทุนนิยมทำให้การเข้าถึงกระบวนการทางการแพทย์สำหรับคนข้ามเพศเป็นเรื่องยาก และราคาแพง เนื่องจากการให้การบริการทางการแพทย์สำหรับคนข้ามเพศเป็นภาระของคนข้ามเพศเองที่จะรับผิดชอบต่อการหาข้อมูลและบริการ การเข้าสู่การบริการทางการแพทย์ และการรับผิดชอบต่อความเสี่ยงที่เกิดจากการบริการที่ตนเลือก ภาระเหล่านี้สร้างความกังวลให้กับคนข้ามเพศ ปัดความรับผิดชอบที่ไม่เป็นธรรมให้กับคนข้ามเพศ และลดทางเลือกในการตัดสินใจในเรื่องสุขภาพของคนข้ามเพศคนหนึ่ง เช่น ตัดสินใจกินยาคุมกำเนิดแทนฮอร์โมนเพศโดยไม่ทราบผลข้างเคียง เพราะราคาถูกและเข้าถึงง่าย เป็นต้น ระบบสาธารณสุขไทยผลักภาระเหล่านี้ให้กับคนข้ามเพศ โดยไม่คำนึงถึงสิทธิของผู้รับบริการ ซึ่งแตกต่างกันกับต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่มีกฎหมายครอบคลุมการบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขต่อสุขภาพของคนข้ามเพศอย่างเท่าเทียม ที่รวมถึงการมีข้อมูลที่ครบถ้วนต่อการตัดสินใจในการรับบริการทางการแพทย์ และการมีระบบการรักษาที่มีมาตรฐาน ที่รวมการติดตามสถานะทางสุขภาพของผู้รับบริการอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าประเทศไทยจะมีประชากรกะเทยและคนข้ามเพศจำนวนมาก ระบบสาธารณสุขไทยยังปฎิเสธการให้บริการทางการแพทย์กับคนกลุ่มนี้ ... ประเทศไทยมีแพทย์ที่สามารถทำการแปลงเพศ และทำศัลยกรรมจำนวนมาก การสร้างระบบบริการทางการแพทย์สำหรับคนข้ามเพศในระบบสาธารณสุขไทยจะเป็นการลดรายได้ของแพทย์กลุ่มนี้ นี้แหละคือความน่ากลัวของระบอบทุนนิยม

4.4 การเปลี่ยนเพศของชายข้ามเพศที่ต้องใช้เงินจำนวนมากกว่าการเปลี่ยนเพศของหญิงข้ามเพศ มีกระบวนการที่ซับซ้อน และต้องการระบบการติดตามทางสุขภาพของชายที่ผ่านการแปลงเพศที่มีประสิทธิภาพ (มากกว่าที่เป็นอยู่) ดังนั้นการเปลี่ยนเพศของชายข้ามเพศจึงมีข้อจำกัดจำนวนมาก และความเสี่ยงที่มากกว่า

การเปลี่ยนคำนำหน้านามทางกฎหมายเฉพาะคนแปลงเพศจึงต้องคิดอย่างถี่ถ้วนเพื่อครอบคลุมประเด็นเหล่านี้ที่กล่าวไปข้างต้น และสร้างให้กฎหมายนี้เป็นกฎหมายที่เป็นธรรม และไม่แบ่งแยกเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

5. กฎหมายเปลี่ยนคำนำหน้านามของหญิงและชายข้ามเพศได้รับการพิจารณาและออกเป็นกฎหมายในหลายประเทศเช่น อังกฤษ สวีเดน เนเธอร์แลนด์ สหรัฐอเมริกา แคนาดา บลาซิล อาร์เจนทิน่า และอีกหลายประเทศ ซึ่งกฎหมายนี้ในหลายประเทศไม่ได้จำกัดสิทธิการเปลี่ยนคำนำหน้านามเพียงชายหรือหญิงข้ามเพศที่ผ่านการแปลงเพศเท่านั้น แต่ครอบคลุมทุกคนที่นิยามเพศของตนต่างจากเพศกำเนิด โดยไม่ต้องผ่านการทำศัลยกรรม หรือกระบวนทางการแพทย์ในการเปลี่ยนสรีระ ฉะนั้นแนวคิดของการรับรองเพศใหม่ให้กับคนข้ามเพศจึงเป็นแนวคิดที่ปฏิบัติได้จริง และมีตัวอย่างจำนวนมาก ... คำถามสำคัญคือ ประเทศไทยพร้อมหรือยังที่จะผ่านกฎหมายการรับรองเพศสภาพกับกะเทยและคนข้ามเพศ หรือประเทศไทยจะรอจนกว่าประเทศอื่นๆมีกฎหมายนี้ และรอให้ประชาคมโลกรู้ว่า "the paradise of LGBT" เป็นเรื่องสร้างภาพสำหรับประเทศที่ระบอบทุนนิยมกำลังจะกลืนกินความเท่าเทียมกันในความเป็นมนุษย์ และเผยเนื้อแท้แห่งอคติทางเพศ คอรัปชั่น และความอยุติธรรมในสังคมวัฒนธรรมที่ "หน้า" สำคัญกว่า "จิตวิญญาณแห่งความเป็นมนุษย์"



-------------
ข่าวเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวประเด็นคำนำหน้านามของคนข้ามเพศในประเทศไทย (7/2558):

http://news.voicetv.co.th/thailand/232089.html

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1437019071

http://prachatai.org/english/node/5313?utm_source=dlvr.it&utm_medium=facebook

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

หยุด "กลัว" กะเทย

“เกิดเป็นกะเทยเสียชาติเกิด” “กรรมเก่า … ทำความดีในชาตินี้จะได้เกิดเป็นชายจริงหญิงแท้ในชาติหน้า” “กะเทยควาย กะเทยหัวโปก กะเทยลูกเจี๊ยบ …” “กะเทยห้ามบวช ห้ามเป็นทหาร ห้ามเป็นหมอ ห้ามเป็นครูอาจารย์ ห้ามแต่งหญิงในที่ทำงาน!!!” “กะเทยต้องแต่งหน้า ทำผมเก่ง เต้นเก่ง และ “โม๊ก” เก่ง … ต้องตลก และมีอารมณ์ขัน” ฉันเชื่อว่ากะเทยหลายคนเติบโตมากับเสียงสะท้อนเหล่านี้จากสังคม คนรอบข้าง และจากเพื่อนกะเทยด้วยกัน หลายครั้งชีวิตของคนคนหนึ่งไม่ได้มีอิสระในการเลือกตามความเข้าใจของพวกเรา เมื่อ “ความเป็นเรา” ถูกทำให้เป็นอื่น หรือ “แปลก” และ “แตกต่าง” ความเป็นเราจึงถูกจำกัดทำให้บางครั้งคนคนหนึ่งไม่สามารถเลือกได้ว่า จะใช้ชีวิตแบบใด หรือมีความสนใจในเรื่องใด เพราะเขาหรือเธอไม่อยาก “แปลก” หรือให้ใครเห็นว่าพวกเขา“ต่าง” จากคนอื่นๆ เมื่อการเป็นกะเทยถูกทำให้เป็นเรื่อง “แปลก” ในสังคมไทยที่พร้อมจะตัดสินความแปลกเป็นความ“ผิด” หรือ “ผิดปกติ” เสียงสะท้อนจากสังคม คนรอบข้าง รวมถึงกะเทยคนอื่นๆ จึงจำกัดจินตนาการ และวิถีชีวิตที่หลากหลายของการใช้ชีวิตเป็นมนุษย์ นอกจากนี้การตัดสินว่ากะเทยคนหนึ่งต้องทำหรือไม่ทำอ...

ถ้าวันหนึ่ง...

ถ้าวันหนึ่ง... ประชากรส่วนใหญ่บนโลกเป็นเกย์กะ เทยทอมดี้ ... คนรักต่างเพศจะเป็นคนกลุ่มน้อย ผู้ปกครองประเทศส่วนใหญ่เป็นผู้ หญิง ผู้ชายสามารถท้องแทนภรรยาด้วยนว ัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ ห้องน้ำไม่แยกหญิงชาย แต่เป็นห้องน้ำ Unisex ที่ใครเพศใดจะเข้าก็ได้  คนสามารถเลือกเพศได้ในเอกสารทาง ราชการ ... เลือกที่จะเป็นนางสาวหรือนางก็ไ ด้เมื่อแต่งงาน ใครจะแต่งงานกับใครก็ได้ เรื่องความรักเป็นเรื่องของคนสอ งคน ศาสนาจะไม่ใช่เหตุผลของการทำสงค ราม ระบบการศึกษาจะมีบทเรียนเรื่องเ พศสำหรับเยาวชน ที่ครอบคลุมไปถึงเรื่องความเป็น เพศที่หลากหลาย ครูอาจารย์จะไม่ใช่ศูนย์กลางของ การเรียนการสอน แต่การศึกษาเป็นการสร้างการมีส่ วนร่วมของผู้เรียนและผู้สอน โดยผู้เรียนมีส่วนช่วยคิดแผนการ เรียน การนับถือศาสนาเป็นทางเลือก ศาสนาจะไม่ใช่เครื่องมือตัดสินค วามผิดถูก แต่เป็นสถาบันที่ช่วยพัฒนาความเ ป็นมนุษย์ และจิตวิญญาณของมนุษย์เพื่อนำไป สู่ความผาสุกของสังคม ประชาชนสามารถมีความคิดเห็นแตกต ่างทางการเมือง รัฐจะมีพื้นที่สำหรับคนที่เห็นต ่างได้แสดงออก (การเมืองแบบสองขั้วต่างเป็นการ เมืองที่ไม่สร้างสังคมประชาธิปไ ตย) ระบบสาธา...