ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Beyond Visibility: Pose ในแง่มุมที่มากกว่าการสร้าง "ภาพปรากฏ" ของผู้หญิงข้ามเพศบนจอแก้ว

รู้ใช่หรือไม่ว่ามันหมายถึงอะไร การที่เราสามารถอยู่บนโลกที่มีแต่ผู้หญิงและผู้ชาย โลกของคนผิวขาว ที่ทุกคนพยายามแสวงหาความฝันของอเมริกันชน แต่พวกเราไม่เคยเข้าถึงความฝันนั้นเลย ไม่ใช่เพราะเราทำมันไม่ได้นะ เชื่อฉันเถอะ ฉันหมายความว่าทำไมเธอจะไม่พยายามทำตามฝันนั้นล่ะ? แค่เธอขยับตัวเต้นให้คนทั้งโลกได้เห็น? โลกอาจจะยอมรับคนแบบเราก็ได้?” 

Blanca พูดเพื่อให้กำลังใจกับ Damon ชายหนุ่มแอฟริกันอเมริกันอายุ 17 ปี ที่หนีออกจากบ้านที่พ่อแม่ไม่ยอมรับเขาที่เป็นเกย์ และได้เดินทางมานิวยอร์ก จนมาพบกับ Blanca ซึ่งเป็นผู้หญิงข้ามเพศที่เปิดบ้านของเธอในฐานะผู้ปกครองของเขา บทพูดนี้เป็นบทพูดก่อนที่ Damon จะเปิดตัวในงานบอลรูม (Ballroom) งานแรกของเขา ฉากนี้เป็นฉากหนึ่งในภาพยนตร์ซีรีส์เรื่อง Pose สะท้อนให้ผู้ชมเห็นถึงสังคมอเมริกาในปลายยุค 80 ยุคที่กำลังมีการระบาดของเชื้อเอชไอวี การเลือกปฎิบัติเชิงโครงสร้างต่อคนผิวสี และการกีดกันต่อคนที่มีความหลากหลายทางเพศ   

Pose เป็นซีรีส์ที่สร้างประวัติศาสตร์สำคัญ เพราะเป็นซีรีส์ที่ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง FX ที่ได้รวบรวมนักแสดงที่เป็นคนข้ามเพศจำนวนมากที่สุดมาแสดงในบทต่างๆ อีกทั้งยังมีบรรดานักเขียน และทีมผู้ผลิต หรือโปรดิวเซอร์ที่เป็นคนข้ามเพศอีก อาทิ Janet Mock และ Our Lady J ซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง และเป็นที่รู้จักในชุมชนของคนที่มีความหลากหลายทางเพศของประเทศสหรัฐอเมริกา   

นอกจาก Pose จะสร้างปรากฎการณ์ที่ทำให้คนข้ามเพศได้เป็นที่มองเห็น และยอมรับในวงการภาพยนตร์ของสหรัฐอเมริกา Pose ยังมีข่าวดีให้แฟนคลับ และชุมชนของคนที่มีความหลากหลายทางเพศ ได้ตื่นเต้นอีกครั้งเมื่อ Mj Rodriguez สร้างประวัติศาตร์เป็นนักแสดงผู้หญิงข้ามเพศ (Trans Woman) คนแรกที่ได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มมี่ อวอร์ด (Emmy Awards) ในสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์แนวดราม่า (Drama) สำหรับบทบาท Blanca Rodriguez-Evangelista  

และพวกเราได้ยินกันอย่างชัดเจนว่า Mj Rodriguez อาจจะได้เป็นผู้หญิงข้ามเพศคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้ตั้งแต่มีการจัด Emmy Awards มา ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้จะเป็นครั้งที่ 73 และจะมีขึ้นในวันที่ 20 กันยายนของปีนี้  

หลังจากที่ Billy Porter ได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในปี 2019 ในบทของ Pray Tell ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของ Blanca และผู้ประกาศ (Emcee) ในงานบอลรูมที่มีประโยคฮิตติดหูอย่างเช่น “The category is …” ทุกครั้งที่มีการประกาศประเภทของชุด หรือธีมในการแต่งตัว ก่อนที่จะเริ่มการประกวด และให้กรรมการได้ทำการตัดสินคะแนนว่าทีมจากบ้านไหนจะได้ถ้วยรางวัลกลับไปมากที่สุด  

Billy Porter คือนักแสดงผิวสีที่เปิดเผยว่าตัวเองเป็นเกย์คนแรกที่ได้รับรางวัลนี้ และเขายังได้รับการเสนอชื่อเพื่อรับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมเป็นปีที่ 3 พร้อมกับภาพยนตร์เรื่อง Pose ยังได้รับการเสนอชื่อเพื่อชิงรางวัลภาพยนตร์ดราม่ายอดเยี่ยมของปีนี้อีกด้วย 

Pose ไม่ได้ประสบความสำเร็จในแง่ของการสร้างภาพปรากฏ และสร้างความเข้าใจให้กับคนข้ามเพศแต่เพียงอย่างเดียว แต่ Pose ทำการบ้านมาเป็นอย่างดีในการนำเสนอวัฒนธรรม “Voguing culture” หรือ     “วัฒนธรรมการเต้นโว้กซึ่งเป็นวัฒนธรรมกลุ่มย่อยที่เกิดโดยกลุ่มเกย์ และหญิงข้ามเพศผิวสีในนิวยอร์กช่วงปลายยุค 80 และการเต้นโว้กมักจะถูกนำเสนอในงานบอลรูม ที่ถูกจัดขึ้นแบบลับๆ หรือ “underground” ในสถานที่ที่ไม่ใช่บาร์ หรือที่เที่ยวของนักเที่ยวกระแสหลัก โดยมีคำกล่าวที่ว่าบอลรูมคือจุดกำเนิดของโว้กก่อนที่ Madonna จะทำให้วัฒนธรรมการเต้นโว้กเป็นที่โด่งดังในเพลงของเธอที่ใช้ชื่อว่า “Vogue” จากอัลบั้ม “I’m Breathless” ในปี 1990  

มีคำกล่าวที่ว่าการเต้นโว้ก คือ การต่อต้านต่อความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับคนที่มีความหลากหลายทางเพศผิวสีซึ่งเราได้เห็นตัวอย่างนี้จากการนำเสนอของภาพยนตร์เรื่อง Pose ว่าการจัดงานบอลรูมของกลุ่มเกย์ และผู้หญิงข้ามเพศผิวสีนั้นอาจจะเป็นกิจกรรมทางสังคมที่เปิดพื้นที่ให้กับพวกเขาได้ปลดเปลื้องจากความทุกข์ที่เกิดจากสังคมที่เลือกปฎิบัติ และตีตราต่อคนผิวสี และคนที่มีความหลากหลายทางเพศ และเป็นพื้นที่ที่ช่วยเยียวยาจากประสบการณ์ของการถูกกระทำความรุนแรง และทำให้พวกเขารู้สึกว่าได้รับพลังใจจากคนในชุมชนเดียวกัน นอกจากซีรีส์เรื่อง “Pose แล้ว “Paris Is Burning” ซึ่งเป็นภาพยนตร์สารคดีในปี 1990 และ “Kiki” ในปี 2016 เป็นภาพยนตร์ที่คนสนใจวัฒนธรรมการโว้กควรไปหาดูกัน  

Pray Tell ใน Pose พูดเกี่ยวกับครอบครัวที่น่าสนใจว่าบ้านเป็นมากกว่าที่พักอาศัย มันคือการสร้างครอบครัว และทุกครอบครัวต้องการแม่ ผู้ซึ่งมอบการยอมรับคน (ในครอบครัว) แบบไม่มีเงื่อนไข ใส่ใจดูแล ไม่ลังเลต่อความรักที่มอบให้ และสร้างแรงบันดาลใจซึ่งเป็นคำพูดที่รื้อถอนภาพครอบครัวแบบเดิมๆ ที่มักจะทอดทิ้งคนที่มีความหลากหลายทางเพศ และเบียดขับคนเหล่านี้ออกจากบ้าน อย่างไรก็ตาม Pose ได้สร้างภาพของครอบครัวทางเลือกให้กับคนที่มีความหลากหลายทางเพศ เป็นบ้านที่สนับสนุนกันและกันทางด้านจิตใจ และสถานะเศรษฐกิจ จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นการรวมกลุ่มของคนที่มีความหลากหลายทางเพศผิวสี อาศัยในบ้านเดียวกัน และมีหัวหน้าครอบครัวที่เป็นผู้หญิงข้ามเพศที่ถูกเรียกว่าแม่ของบ้านหลังนั้น  

แม้ว่า Pose จะไม่ได้ฉายภาพสภาพสังคม และความรุนแรงที่มีต่อคนที่มีความหลากหลายทางเพศตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในยุคสมัยของเรื่องราวในซีรีส์เรื่องนี้ แต่ Pose เล่าเรื่องราวน่าสนใจซึ่งเป็นปรากฎการณ์สำคัญเกี่ยวกับการระบาดของโรคเอดส์ โดย Pose เปิดตัวฉากแรกในยุค 1987 ซึ่งเป็นยุคที่งานบอลรูมเป็นกิจกรรมทางสังคมของกลุ่มเกย์ และหญิงข้ามเพศผิวสีในนิวยอร์ก โดยที่ซีรีส์เรื่องนี้ในซีซั่นสองเสนอภาพของสังคมอเมริกันในยุค 1990 ซึ่งเป็นยุคที่วัฒนธรรมโว้กถูกนำไปสู่สังคมกระแสหลักโดยเพลงของมาดอนน่า และการระบาดที่เพิ่มมากขึ้นของโรคเอดส์ และเปิดตัวภาคสุดท้าย (ซีซั่นสาม) ในปี 1994 ซึ่งเป็นช่วงปีที่เอดส์เป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตของคนอเมริกันที่อายุ 25 ถึง 44 ปี     

เกย์ และผู้หญิงข้ามเพศเป็นกลุ่มประชากรที่ได้รับผลกระทบจากการตีตรา และภาพเหมารวมที่คนในสังคมอเมริกันในช่วงปลายยุค 80 เรื่อยมาจนถึงต้นยุค 90 เชื่อว่าเอดส์คือโรคของเกย์หรือเกย์เป็นตัวแพร่เชื้อโรคซึ่งคนส่วนใหญ่อาจจะใช้คำว่าเกย์หรือคนรักร่วมเพศที่รวมถึงคนข้ามเพศไปด้วย ตัวละครหลักของ Pose ทั้ง Blanca และ Pray Tell ก็เป็นผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี ซึ่งแน่นอนว่าเป็นความตั้งใจของทีมผู้สร้างภาพยนตร์ที่พยายามสื่อปรากฏการณ์นี้ผ่านตัวละครทั้งสอง เพื่อฉายภาพในด้านบวกของคนที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี ซึ่งก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่ต้องต่อสู้กับความอยุติธรรมที่เกิดจากการเป็นคนผิวสี และคนที่มีความหลากหลายทางเพศ ความต้องการความรัก และมอบความรัก และการเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้ และเยียวยาของคนที่มีความหลากหลายทางเพศในยุคที่ยังเต็มไปด้วยอคติ และองค์ความรู้ที่จำกัดเกี่ยวกับโรคเอดส์และเอชไอวี

Pose ฉายภาพตัวแทนจากชุมชนของคนที่มีความหลากหลายทางเพศทั้งในระดับบุคคล และระดับสังคมในวัฒนธรรมอเมริกันสมัยนั้น ซึ่งคนที่มีความหลากหลายทางเพศผิวสีต้องรวมกลุ่มกันเพื่อช่วยเหลือกันและกัน ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของการจัดตั้งองค์กรชุมชนที่ทำงานด้านเอดส์กับคนรักเพศเดียวกัน และผู้หญิงข้ามเพศ โดยที่องค์กรหนึ่งที่ถูกอ้างถึงใน Pose คือ “ACT UP” ซึ่งเป็นองค์กรที่ถูกก่อตั้งขึ้นจริงในปี 1987 และมีการนำเสนอสถานที่ในประวัติศาสตร์ เช่น โรงพยาบาลที่รับดูแลรักษาผู้ป่วยเอดส์ที่เป็นคนรักเพศเดียวกัน  ซึ่งมีอยู่จริง และตั้งอยู่ในย่านกรีนวิชวิวเลซ หรือ “Greenwich Village” ในเขตแมนฮัตตัน (Manhattan) นิวยอร์กอย่างเช่น “Saint Vincent’s” หรือ สถานที่ที่คนในชุมชนเรียกว่า “The Piers” ที่ตั้งอยู่ในย่านเดียวกัน ริมแม่น้ำฮัดสัน (Hudson River) ที่เป็นแหล่งที่คนทำงานบริการทางเพศยืนหาลูกค้า และแหล่งหาคู่นอนของคนรักเพศเดียวกัน ผู้หญิงข้ามเพศ และคนที่สนใจพวกเขา      

กลับมามองที่ภาพยนตร์ไทยที่มีการใช้นักแสดงเป็นผู้หญิงข้ามเพศ หรือถ่ายถอดเรื่องราวของคนข้ามเพศ ที่ฉายภาพ และเรื่องราวของพวกเขาอย่างจำกัด ขาดแง่มุมของความจริงที่มนุษย์คนหนึ่งต้องเผชิญ หรือการเป็นเพียงตัวประกอบที่สร้างสีสรรในภาพยนตร์จอแก้วและจอเงิน ถ้าคิดในอีกแง่มุมหนึ่งคือ การรับรู้ของผู้ชมต่อคนข้ามเพศนั้นเลือกที่จะรับชมภาพยนตร์เพียงบางเรื่อง และไม่เปิดรับภาพ หรือเรื่องราวที่ต่างออกไปของคนข้ามเพศในวงการภาพยนตร์ไทย

เป็นเรื่องที่น่าคิดว่า ในขณะที่คนข้ามเพศในต่างประเทศได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าสามารถทำหน้าที่ของนักแสดงอย่างสุดความสามารถ และมีภาพยนตร์ซีรีส์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับคนที่มีความหลากหลายทางเพศที่ได้รับเสียงตอบรับจากผู้ชมทั่วโลก เช่น Orange is the New Black (2013-2019) ซึ่งมีนักแสดงหญิงข้ามเพศอย่าง Laverne Cox ในบทของ Sophia Burset และ Transparent (2014-2019) ที่ถ่ายทอดเรื่องราวของหญิงข้ามเพศได้อย่างครบรส แม้ว่าจะนำแสดงโดยผู้ชายตรงเพศอย่าง Jeffrey Tambor ในบทของ Maura Pfefferman 

จึงทำให้เกิดคำถามกับผู้ผลิตภาพยนตร์ไทย และผู้ชมที่ว่าเมื่อไหร่ผู้ผลิต และผู้ชมภาพยนตร์ไทยจะตระหนักถึงช่องว่างที่เกิดขึ้นนี้?” ก่อนที่จะเริ่มพัฒนาภาพปรากฎของคนที่มีความหลากหลายทางเพศในวงการภาพยนตร์ไทย ที่ไม่ย้ำอยู่กับความตลกหรือเป็นแค่ตัวประกอบแต่นำเสนอถึงแง่มุมชีวิตที่หลากหลายอย่างสร้างสรรค์

สุดท้าย Blanca ใน Pose ได้พูดว่า “Our greatest asset is our authenticity” หรือในภาษาไทยคือความเป็นตัวของตัวเองของพวกเรา (ผู้หญิงข้ามเพศ) คือสมบัติอันมีค่าที่สุดดังนั้นเมื่อใดภาพยนตร์หยิบใช้สมบัติล้ำค่านี้จากผู้หญิงข้ามเพศ คนชมก็จะได้เรียนรู้ความหลากหลาย และความเป็นมนุษย์ที่ไปไกลกว่าการปรากฎตัวของคนข้ามเพศในภาพยนตร์นั้นไปด้วย

เขียนโดย: กะเท้ย กะเทย      

อ้างอิง:
1. Variety: shorturl.asia/RTgNi 

* บทความนี้เขียนลงนิตยสารออนไลน์ Modernist เผยแพร่วันที่ 17 สิงหาคม 2564 สามารถหาอ่านจาก ลิงค์ นี้


ภาพ: MJ Rodriguez จาก Internet
ภาพ: MJ Rodriguez จาก Internet

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

5 เหตุผลทำไมเราจึงต้องพูดเรื่องการเปลี่ยนคำนำหน้านามของหญิงและชายข้ามเพศ (ในประเทศไทย)

ทำไมเราจึงต้องมาพูดเรื่องการเปลี่ยนคำนำหน้านามของหญิงและชายข้ามเพศ: 1. เพราะเพศไม่ได้จำกัดแค่ชายและหญิง ประเทศไทยได้รับการยอมรับจากนานาชาติว่าเป็นประเทศที่ให้การยอมรับกับคนที่มีความหลากหลายทางเพศในเชิงสังคมวัฒนธรรม ถึงขั้นคนต่างชาติยกย่องให้เป็น "the paradise of LGBT" หรือ ''สวรรค์ของเกย์ ชายรักชาย กะเทย คนข้ามเพศ ทอมดี้ หญิงรักหญิง และคนรักสองเพศ" ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะเปลี่ยนผ่านจากการยอมรับเชิงสังคมวัฒนธรรมเป็นการยอมรับเชิงกฎหมายเพื่อสร้างความเท่าเทียมให้กับคนทุกเพศในสังคมไทย 2.การเปลี่ยนคำนำหน้านามของคนข้ามเพศในเอกสารราชการไม่ได้เป็น "สิทธิพิเศษ" น้อยครั้งมากที่บุคคลที่นิยามตัวเองว่าชายหรือหญิงจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ตนถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่อง "ตัวตนทางเพศ" ของตนเองจากเจ้าหน้าที่ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง (ในต่างประเทศ) และบุคคลทั่วไป เพราะตัวตนทางเพศไม่ได้ดูขัดแย้งกับคำนำหน้านามในบัตรประชาชน หนังสือเดินทาง และเอกสารสำคัญทางราชการ ในทางตรงกันข้าม กะเทย และคนข้ามเพศจะต้องตอบคำถามจากคนอีกจำนวนมากถึงความเป็นเพศ ตัวตนทา...

หยุด "กลัว" กะเทย

“เกิดเป็นกะเทยเสียชาติเกิด” “กรรมเก่า … ทำความดีในชาตินี้จะได้เกิดเป็นชายจริงหญิงแท้ในชาติหน้า” “กะเทยควาย กะเทยหัวโปก กะเทยลูกเจี๊ยบ …” “กะเทยห้ามบวช ห้ามเป็นทหาร ห้ามเป็นหมอ ห้ามเป็นครูอาจารย์ ห้ามแต่งหญิงในที่ทำงาน!!!” “กะเทยต้องแต่งหน้า ทำผมเก่ง เต้นเก่ง และ “โม๊ก” เก่ง … ต้องตลก และมีอารมณ์ขัน” ฉันเชื่อว่ากะเทยหลายคนเติบโตมากับเสียงสะท้อนเหล่านี้จากสังคม คนรอบข้าง และจากเพื่อนกะเทยด้วยกัน หลายครั้งชีวิตของคนคนหนึ่งไม่ได้มีอิสระในการเลือกตามความเข้าใจของพวกเรา เมื่อ “ความเป็นเรา” ถูกทำให้เป็นอื่น หรือ “แปลก” และ “แตกต่าง” ความเป็นเราจึงถูกจำกัดทำให้บางครั้งคนคนหนึ่งไม่สามารถเลือกได้ว่า จะใช้ชีวิตแบบใด หรือมีความสนใจในเรื่องใด เพราะเขาหรือเธอไม่อยาก “แปลก” หรือให้ใครเห็นว่าพวกเขา“ต่าง” จากคนอื่นๆ เมื่อการเป็นกะเทยถูกทำให้เป็นเรื่อง “แปลก” ในสังคมไทยที่พร้อมจะตัดสินความแปลกเป็นความ“ผิด” หรือ “ผิดปกติ” เสียงสะท้อนจากสังคม คนรอบข้าง รวมถึงกะเทยคนอื่นๆ จึงจำกัดจินตนาการ และวิถีชีวิตที่หลากหลายของการใช้ชีวิตเป็นมนุษย์ นอกจากนี้การตัดสินว่ากะเทยคนหนึ่งต้องทำหรือไม่ทำอ...

ถ้าวันหนึ่ง...

ถ้าวันหนึ่ง... ประชากรส่วนใหญ่บนโลกเป็นเกย์กะ เทยทอมดี้ ... คนรักต่างเพศจะเป็นคนกลุ่มน้อย ผู้ปกครองประเทศส่วนใหญ่เป็นผู้ หญิง ผู้ชายสามารถท้องแทนภรรยาด้วยนว ัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ ห้องน้ำไม่แยกหญิงชาย แต่เป็นห้องน้ำ Unisex ที่ใครเพศใดจะเข้าก็ได้  คนสามารถเลือกเพศได้ในเอกสารทาง ราชการ ... เลือกที่จะเป็นนางสาวหรือนางก็ไ ด้เมื่อแต่งงาน ใครจะแต่งงานกับใครก็ได้ เรื่องความรักเป็นเรื่องของคนสอ งคน ศาสนาจะไม่ใช่เหตุผลของการทำสงค ราม ระบบการศึกษาจะมีบทเรียนเรื่องเ พศสำหรับเยาวชน ที่ครอบคลุมไปถึงเรื่องความเป็น เพศที่หลากหลาย ครูอาจารย์จะไม่ใช่ศูนย์กลางของ การเรียนการสอน แต่การศึกษาเป็นการสร้างการมีส่ วนร่วมของผู้เรียนและผู้สอน โดยผู้เรียนมีส่วนช่วยคิดแผนการ เรียน การนับถือศาสนาเป็นทางเลือก ศาสนาจะไม่ใช่เครื่องมือตัดสินค วามผิดถูก แต่เป็นสถาบันที่ช่วยพัฒนาความเ ป็นมนุษย์ และจิตวิญญาณของมนุษย์เพื่อนำไป สู่ความผาสุกของสังคม ประชาชนสามารถมีความคิดเห็นแตกต ่างทางการเมือง รัฐจะมีพื้นที่สำหรับคนที่เห็นต ่างได้แสดงออก (การเมืองแบบสองขั้วต่างเป็นการ เมืองที่ไม่สร้างสังคมประชาธิปไ ตย) ระบบสาธา...