ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

หยุด…คิด

ช่วงนี้งานยุ่งมากจนไม่มีเวลาไปยุ่งเรื่องชาวบ้านตามประสาคนชอบยุ่ง แต่พอมาอ่านเจอบทความในเว็บบอร์ดของสมาคมฟ้าสีรุ้งฯ ที่ขึ้นชื่อหัวเรื่องว่า “แพทยสภาแกล้งหนู (ผู้หญิงข้ามเพศ)” สัญชาติญาณของคนชอบยุ่งก็ทำให้อดไม่ได้ที่จะเข้าไปอ่านสิ่งที่ถูกเขียนในนั้น ก่อนที่จะอ่านบทความดังกล่าว ยังเดาเล่นๆว่ามันน่าจะเกี่ยวกับเรื่องอะไรได้บ้าง สิ่งที่อยู่ในหัวตอนนั้น และพอจะคิดขึ้นมาได้ก็มีเรื่องการผ่าตัดลูกอัณฑะของหมอคนหนึ่งที่เป็นข่าวดังเมื่อไม่นานนี้ และเรื่องร่างข้อบังคับของแพทยสภา ว่าด้วยเรื่องการแปลงเพศ 

“เอ้า…เดาถูกจริงๆ” เป็นอย่างที่คิดไว้ว่า บทความดังกล่าวมีความเชื่อมโยงกับเรื่องทั้งสองข้างต้น และเป็นบทความอ้างถึง “(ร่าง) ข้อบังคับแพทยสภา ว่าด้วยเรื่องหลักเกณฑ์การทำศัลยกรรมแปลงเพศ พ.ศ. …” ซึ่งเป็นร่างข้อบังคับเพื่อใช้กำหนดบทบาทของศัลยแพทย์ที่ทำการแปลงเพศ และเกณฑ์การคัดกรองบุคคลที่จะเข้ารับการแปลงเพศ ในบทความนี้ยังได้อ้างถึงกลุ่มผู้หญิงข้ามเพศแห่งประเทศไทย ที่ออกมาแสดงความเห็นว่าพวกเธอเห็นด้วยในหลักเกณฑ์เบื้องต้น แต่มีคำถามมากมายในรายละเอียดของหลักเกณฑ์ดังกล่าว ที่ทำให้เห็นว่า “พวกเธอไม่ได้เห็นด้วยเลยกับหลักเกณฑ์และรายละเอียดของข้อบังคับฯ” ทั้งยังได้เสนอแนะกระทรวงสาธารณสุข และแพทยสภาดำเนินการ ปรับเปลี่ยน แก้ไข และชะลอการตัดสินใจประกาศใช้ข้อบังคับดังกล่าว

เนื่องจากเคยเห็นร่างข้อบังคับฉบับนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง จึงเห็นด้วยกับกลุ่มผู้หญิงข้ามเพศฯว่า แพทยสภาไม่ได้มีความสนใจที่จะช่วยเหลือผู้หญิงข้ามเพศอย่างจริงจัง และไม่เข้าใจถึงความต้องการของบุคคลที่ต้องการทำศัลยกรรมแปลงเพศ ทั้งนี้เชื่อว่า ร่างแพทยสภาดังกล่าวนี้ถูกร่างขึ้นมาโดยไม่ได้เกิดจากการมีส่วนร่วมของผู้รับบริการ หากแต่ให้ความสำคัญกับผู้ให้บริการ นั้นคือ “ศัลยแพทย์” เท่านั้น แสดงให้เห็นว่าร่างดังกล่าวเอื้อประโยชน์กับคนเพียงบางกลุ่ม และเกิดคำถามตามมาว่า “มีการเล่นพรรคเล่นพวกหรือไม่ในสภาอันทรงเกียรติของผู้ที่มีอาชีพเป็นแพทย์” หมายถึงการให้ความสำคัญของคนกลุ่มเดียวกัน โดยไม่คำนึงว่าผู้ได้รับผลกระทบจะเป็นอย่างไร 

ร่างข้อบังคับนี้ยังตอกย้ำสังคมที่มีมิติโครงสร้างแบบชายเป็นใหญ่ (วิเคราะห์กันแบบเล่นๆ เราจะเห็นว่าแพทย์เพศชายจะมีอำนาจในการตัดสินใจในแพทยสภาเป็นส่วนใหญ่) ซึ่งเป็นสังคมที่ให้ความสำคัญกับวาทกรรมทางการแพทย์ ให้มีอำนาจเหนือประชาชน และแพทย์ยังมีอำนาจที่จะตัดสินว่าคนที่เป็นกะเทยเป็นโรค ทั้งนี้ยังเสนอแนวทางในการรักษาโรค โดยไม่ได้คิดคำนึงเลยว่าสังคมที่เต็มไปด้วยอคติทางเพศต่อคนที่เป็นคนที่มีความหลากหลายทางเพศเป็นสังคมที่ป่วยและต้องได้รับการบำบัด การมีความคิดที่จะทำให้คนคนหนึ่งมีความสมบูรณ์ทั้งทางกายและทางใจ คงไม่ใช่การแก้ไขปัญหาการยอมรับคนเป็นกะเทยในสังคมที่เจ็บป่วย หากแต่ควรมีมาตรการเพื่อการเปลี่ยนแปลง หรือรักษาเยียวยาโครงสร้างของสังคมที่เต็มไปด้วยอคติแห่งเพศ ให้กลายเป็นสังคมของคนที่มีความแตกต่างหลากหลายสามารถอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขเห็นจะเป็นทางออกเสียมากกว่า

เอาล่ะ…มาตรการที่ว่าคงจะทำได้ไม่ง่ายนัก และไม่ใช่ว่าใครจะทำได้ในวันเดียว ใครจะบ้าหรือมีอำนาจพอที่จะเปลี่ยนวาทกรรมทางการแพทย์ ที่เต็มไปด้วยอำนาจในสังคมแบบชายเป็นใหญ่ แต่ก็ไม่ใช่จะไม่มีใครกล้าทำ อันที่จริงเราเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงคงต้องเริ่มเปลี่ยนจากตัวเราให้มีอำนาจภายในเพื่อที่จะอยู่กับสังคมที่ต้องได้รับการเยียวยานี้ ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงสังคมมีจุดสำคัญคือ การเปลี่ยนแปลงที่ตัวเรา ให้รู้เท่าทันสิ่งที่เป็นไปในสังคมทั้งระบบ และรู้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจากโครงสร้างของสังคมที่ใช้อำนาจเหนือ และให้คุณค่ากับคนที่มีอำนาจเหล่านั้น 

ทั้งนี้คนทำงานเรื่องสิทธิเพื่อคนที่มีความหลากหลายทางเพศเอง จำเป็นต้องเข้าใจก่อนว่าเรากำลังต่อสู้กับอะไร จากกรณีของแพทยสภานี้ ทำให้เห็นว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับผู้ที่ประกอบอาชีพแพทย์ โดยการไปร้องขอให้พวกเขาเปลี่ยนแปลงกฎข้อบังคับ หรือไปสอนให้พวกเขาเข้าใจว่าใครเพศใดแตกต่างกันอย่างไร แต่ต้องทำความเข้าใจว่าเรากำลังต่อสู้กับโครงสร้างอำนาจ และควรจะต้องใช้ความพยายามในการจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เกิดอำนาจร่วมในโครงสร้างนั้น แม้ว่าจะทำได้ยาก แต่การเข้าไปมีส่วนร่วมโดยรู้เท่าทันสิ่งที่เรากำลังทำ คนที่ต้องไปสัมพันธ์ด้วย และมีเป้าหมายหรือจุดยืนที่ชัดเจน ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี

จึงอยากจะแสดงความคิดเห็นด้วยความรู้สึกเป็นห่วงเพื่อนๆกลุ่มผู้หญิงข้ามเพศว่า พวกเธอควรจะต้องหยุด…คิดซักนิดว่า อะไรคือเป้าหมายและจุดยืนในการทำงานของกลุ่ม ซึ่งถ้าการทำงานของพวกเธอคือการทำงานเรื่องสิทธิของหญิงข้ามเพศแล้ว ด้วยการให้ความหมายของคำว่า “ผู้หญิงข้ามเพศ” หมายถึง คนที่เกิดมาเป็นเพศชายที่ต้องการแปลงเพศเป็นหญิง และคนที่ผ่านการแปลงเพศมาแล้ว โดยแบ่งแยกคนที่ไม่ต้องการแปลงเพศออกไปอีกกลุ่ม จะเป็นนิยามที่ผลิตซ้ำโครงสร้างอำนาจแบบเดิมๆ และไม่คำนึงถึงมิติด้านความหลากหลายของมนุษย์ ที่มีที่มาที่ไปที่แตกต่าง เอาเข้าจริงคำว่าผู้หญิงข้ามเพศ เป็นคำที่แปลจากภาษาอังกฤษของคำว่า “ทรานเจนเดอร์ (Transgender)” ที่ถูกใช้แทนคำว่า “กะเทย” ซึ่งหมายถึงคนที่ปรารถนาที่จะใช้วิถีชีวิตจากชายเป็นหญิง ไม่วาจะแปลงเพศแล้วหรือไม่ 

ดังนั้นต้องทำความเข้าใจว่าตัวตนคนข้ามเพศและกะเทยถูกประกอบสร้างโดยสังคมวัฒนธรรมอย่างแนบเนียน และการแปลงเพศเป็นกลไกหนึ่งเพื่อสร้างตัวตนหนึ่งที่เกิดจากอิทธิพลของสังคมวัฒนธรรมนั้นๆ เราไม่ได้ถกเถียงเรื่องควรหรือไม่ควรใช้คำว่าผู้หญิงข้ามเพศเป็นชื่อกลุ่ม แต่การนิยามคำว่า “ผู้หญิงข้ามเพศ” ที่คับแคบย่อมส่งผลกระทบ เพราะกลุ่มผู้หญิงข้ามเพศควรจะเป็นเสมือนตัวแทนกะเทยทุกกลุ่ม ชนชั้น อาชีพ ภูมิลำเนา ทั้งคนที่ต้องการหรือไม่ต้องการแปลงเพศ เนื่องจากสุดท้ายกะเทยก็ยังต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสังคมวัฒนธรรมแบบเดียวกัน สังคมและวัฒนธรรมที่เอื้อประโยชน์ให้วาทกรรมทางการแพทย์สามารถระบุว่ากะเทยเป็นโรค ควรได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดแปลงเพศ และจบลงที่การใช้ชีวิตเป็นหญิงข้ามเพศในสังคมแบบรักต่างเพศนิยม ที่สุดท้ายปัญหาของกะเทยก็ยังคงเป็นปัญหาอยู่อย่างนั้น ไม่ว่ากะเทยคนนั้นจะแปลงเพศหรือไม่ก็ตาม 

คำถามต่อการทำงานในประเด็นข้อกำหนดแพทยสภาฯของกลุ่มผู้หญิงข้ามเพศคือ กลุ่มผู้หญิงข้ามเพศมีความเชื่อที่ว่าผู้หญิงข้ามเพศทุกคนต้องการแปลงเพศ และเพศสมบูรณ์วัดที่การมีเครื่องเพศที่ตรงกับจิตใจแค่นั้นหรือ แม้ว่าการแปลงเพศจะถูกมองว่าเป็นการรักษาโรคทางจิตเวช หากแต่กลุ่มผู้หญิงข้ามเพศไม่ต้องการหรือที่จะทำงานร่วมกับแพทยสภาเพื่อทำให้การเป็นผู้หญิงข้ามเพศ หรือกะเทยเป็นเรื่องที่ไม่ผิดปกติ เช่นเดียวกับครั้งหนึ่งคนรักเพศเดียวกันถูกถอดถอนจากบัญชีการจำแนกโรคระหว่างประเทศขององค์การอนามัยโลก และระบบการจำแนกโรคทางจิตเวชสากลของสมาคมสุขวิทยาจิตแห่งอเมริกา ส่งผลให้การเป็นคนรักเพศเดียวกัน (ที่ไม่ได้รวมคนข้ามเพศ) ไม่ใช่ความผิดปกติทางจิตอีกต่อไป 

นอกจากนี้กลุ่มผู้หญิงข้ามเพศยินยอมอย่างนั้นหรือที่จะตกอยู่ภายใต้อำนาจโดยให้คนอื่น ที่ไม่ใช่ตัวเรามาตัดสินว่าเราควรหรือไม่ควรทำอะไรกับร่างกายของเรา เพราะการแปลงเพศย่อมเป็นทางเลือกของคนคนหนึ่ง (ที่มีข้อมูลที่ดีพอต่อการตัดสินใจ และมีความพร้อมทั้งทางร่างกาย และจิตใจ) แม้ว่าคนที่นิยามว่าตนเป็นผู้หญิงข้ามเพศจะไม่แปลงเพศก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แม้กระทั่งกลุ่มผู้หญิงข้ามเพศเองก็ไม่สามารถบอกว่าใครเป็นหรือไม่เป็นผู้หญิงข้ามเพศ แตกต่างหรือไม่แตกต่างจากคนที่เรียกตนเองเป็นกะเทย หรือเกย์ ใช่หรือไม่ใช่วัดกันที่ไหน เรามักจะหลงลืม และไม่เท่าทันว่าสังคมวัฒนธรรมมีอำนาจเหนือพวกเราเพียงใด จนบางครั้งผลผลิตทางความคิด และพฤติกรรมของคนกลุ่มหนึ่งมีอำนาจเหนือคนอีกกลุ่ม 

กลุ่มผู้หญิงข้ามเพศควรต้องเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมเชิงความคิดไปกับแพทยสภา การตั้งคำถามมากมายไม่เกิดประโยชน์ เพราะแพทย์ไม่เข้าใจ และไม่พร้อมจะสยบยอมกับสิ่งที่ถูกวิพากษ์ นอกจากนี้การทำงานควรต้องรัดกุม และไม่ส่งผลกระเทือนต่อสมาชิกคนอื่นๆในชุมชนคนที่มีความหลากหลายทางเพศ คำกล่าวที่ว่าอำนาจเป็นสิ่งที่หอมหวานเป็นจริง การใช้อำนาจอย่างรู้เท่าทันย่อมต้องเรียนรู้ ดังนั้นเมื่อกลุ่มผู้หญิงข้ามเพศบอกว่ากลุ่มตนเป็นตัวแทนของคนข้ามเพศ หรือกะเทย ก็ต้องหยุด…คิดถึงบทบาท และจุดยืนที่เริ่มด้วยเจตนาที่ดีของกลุ่ม ว่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสังคม และช่วยคนในชุมชน หรือใช้อำนาจเหนือคนอื่นๆ เฉกเช่นกรณีเดียวกับ (ร่าง) ข้อบังคับของแพทยสภาฯ นี้


ภาพจากงานวันสิทธิความหลากหลาย วันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

5 เหตุผลทำไมเราจึงต้องพูดเรื่องการเปลี่ยนคำนำหน้านามของหญิงและชายข้ามเพศ (ในประเทศไทย)

ทำไมเราจึงต้องมาพูดเรื่องการเปลี่ยนคำนำหน้านามของหญิงและชายข้ามเพศ: 1. เพราะเพศไม่ได้จำกัดแค่ชายและหญิง ประเทศไทยได้รับการยอมรับจากนานาชาติว่าเป็นประเทศที่ให้การยอมรับกับคนที่มีความหลากหลายทางเพศในเชิงสังคมวัฒนธรรม ถึงขั้นคนต่างชาติยกย่องให้เป็น "the paradise of LGBT" หรือ ''สวรรค์ของเกย์ ชายรักชาย กะเทย คนข้ามเพศ ทอมดี้ หญิงรักหญิง และคนรักสองเพศ" ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะเปลี่ยนผ่านจากการยอมรับเชิงสังคมวัฒนธรรมเป็นการยอมรับเชิงกฎหมายเพื่อสร้างความเท่าเทียมให้กับคนทุกเพศในสังคมไทย 2.การเปลี่ยนคำนำหน้านามของคนข้ามเพศในเอกสารราชการไม่ได้เป็น "สิทธิพิเศษ" น้อยครั้งมากที่บุคคลที่นิยามตัวเองว่าชายหรือหญิงจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ตนถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่อง "ตัวตนทางเพศ" ของตนเองจากเจ้าหน้าที่ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง (ในต่างประเทศ) และบุคคลทั่วไป เพราะตัวตนทางเพศไม่ได้ดูขัดแย้งกับคำนำหน้านามในบัตรประชาชน หนังสือเดินทาง และเอกสารสำคัญทางราชการ ในทางตรงกันข้าม กะเทย และคนข้ามเพศจะต้องตอบคำถามจากคนอีกจำนวนมากถึงความเป็นเพศ ตัวตนทา...

หยุด "กลัว" กะเทย

“เกิดเป็นกะเทยเสียชาติเกิด” “กรรมเก่า … ทำความดีในชาตินี้จะได้เกิดเป็นชายจริงหญิงแท้ในชาติหน้า” “กะเทยควาย กะเทยหัวโปก กะเทยลูกเจี๊ยบ …” “กะเทยห้ามบวช ห้ามเป็นทหาร ห้ามเป็นหมอ ห้ามเป็นครูอาจารย์ ห้ามแต่งหญิงในที่ทำงาน!!!” “กะเทยต้องแต่งหน้า ทำผมเก่ง เต้นเก่ง และ “โม๊ก” เก่ง … ต้องตลก และมีอารมณ์ขัน” ฉันเชื่อว่ากะเทยหลายคนเติบโตมากับเสียงสะท้อนเหล่านี้จากสังคม คนรอบข้าง และจากเพื่อนกะเทยด้วยกัน หลายครั้งชีวิตของคนคนหนึ่งไม่ได้มีอิสระในการเลือกตามความเข้าใจของพวกเรา เมื่อ “ความเป็นเรา” ถูกทำให้เป็นอื่น หรือ “แปลก” และ “แตกต่าง” ความเป็นเราจึงถูกจำกัดทำให้บางครั้งคนคนหนึ่งไม่สามารถเลือกได้ว่า จะใช้ชีวิตแบบใด หรือมีความสนใจในเรื่องใด เพราะเขาหรือเธอไม่อยาก “แปลก” หรือให้ใครเห็นว่าพวกเขา“ต่าง” จากคนอื่นๆ เมื่อการเป็นกะเทยถูกทำให้เป็นเรื่อง “แปลก” ในสังคมไทยที่พร้อมจะตัดสินความแปลกเป็นความ“ผิด” หรือ “ผิดปกติ” เสียงสะท้อนจากสังคม คนรอบข้าง รวมถึงกะเทยคนอื่นๆ จึงจำกัดจินตนาการ และวิถีชีวิตที่หลากหลายของการใช้ชีวิตเป็นมนุษย์ นอกจากนี้การตัดสินว่ากะเทยคนหนึ่งต้องทำหรือไม่ทำอ...

ถ้าวันหนึ่ง...

ถ้าวันหนึ่ง... ประชากรส่วนใหญ่บนโลกเป็นเกย์กะ เทยทอมดี้ ... คนรักต่างเพศจะเป็นคนกลุ่มน้อย ผู้ปกครองประเทศส่วนใหญ่เป็นผู้ หญิง ผู้ชายสามารถท้องแทนภรรยาด้วยนว ัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ ห้องน้ำไม่แยกหญิงชาย แต่เป็นห้องน้ำ Unisex ที่ใครเพศใดจะเข้าก็ได้  คนสามารถเลือกเพศได้ในเอกสารทาง ราชการ ... เลือกที่จะเป็นนางสาวหรือนางก็ไ ด้เมื่อแต่งงาน ใครจะแต่งงานกับใครก็ได้ เรื่องความรักเป็นเรื่องของคนสอ งคน ศาสนาจะไม่ใช่เหตุผลของการทำสงค ราม ระบบการศึกษาจะมีบทเรียนเรื่องเ พศสำหรับเยาวชน ที่ครอบคลุมไปถึงเรื่องความเป็น เพศที่หลากหลาย ครูอาจารย์จะไม่ใช่ศูนย์กลางของ การเรียนการสอน แต่การศึกษาเป็นการสร้างการมีส่ วนร่วมของผู้เรียนและผู้สอน โดยผู้เรียนมีส่วนช่วยคิดแผนการ เรียน การนับถือศาสนาเป็นทางเลือก ศาสนาจะไม่ใช่เครื่องมือตัดสินค วามผิดถูก แต่เป็นสถาบันที่ช่วยพัฒนาความเ ป็นมนุษย์ และจิตวิญญาณของมนุษย์เพื่อนำไป สู่ความผาสุกของสังคม ประชาชนสามารถมีความคิดเห็นแตกต ่างทางการเมือง รัฐจะมีพื้นที่สำหรับคนที่เห็นต ่างได้แสดงออก (การเมืองแบบสองขั้วต่างเป็นการ เมืองที่ไม่สร้างสังคมประชาธิปไ ตย) ระบบสาธา...