ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

รักครั้งแรก

เมื่อฉันรู้ว่าฉันต่างจากเด็กชายทั่วๆไป ทุกคนอาจจะตั้งคำถามว่า แล้วต่างอย่างไรล่ะ ฉันคงต้องใช้เวลานั่งทบทวนถึงอดีตของฉัน เอาเป็นว่าต่างตรงที่ฉันไม่ชอบวิชาพลศึกษาเลย เพราะต้องเล่นกีฬา และยิ่งถ้าเป็นกีฬาที่ฉันคิดว่าเป็นกีฬาของผู้ชาย เช่นฟุตบอล บาสเกตบอล และตะกร้อด้วยแล้ว ฉันยิ่งรู้สึกไม่มีความสุขทุกครั้งที่ต้องเรียน ถ้าเลือกได้ ฉันคงจะไม่ขอลงวิชานี้ในโรงเรียน แต่จะไปเรียนเพิ่มในวิชาภาษาอังกฤษซึ่งเป็นวิชาที่ฉันชอบมาก และไม่เคยเบื่อเลย แม้ว่าเพื่อนหลายคนจะบ่นว่ายาก และฉันก็ไม่ได้เก่งอะไร ฉันไม่ได้หมายความว่าผู้หญิงจะไม่สามารถเล่นกีฬาเหล่านั้นได้หรอกนะ แต่นั้นเป็นเพียงความคิดที่ว่ากีฬาพวกนั้นเป็นกีฬาของผู้ชาย แต่ตัวฉันอยากเป็นผู้หญิง ฉันจึงไม่มีความสุขทุกครั้งที่ต้องเล่นมัน ซึ่งอันที่จริงเพื่อนสมัยเรียนของฉันรู้ว่า ตัวฉันเองก็ไม่ได้เก่งในเรื่องของกีฬามาตั้งแต่เด็ก

ความต่างจากเด็กผู้ชายทั่วไปคงไม่สามารถเล่าได้ทั้งหมด แต่ฉันได้อธิบายไปแล้วว่าฉันแค่เป็นเด็กผู้ชายที่อยากเป็นผู้หญิงเท่านั้นเอง … และนั้นนำมาซึ่งประสบการณ์ชีวิตที่หลากหลายของตัวฉัน ไม่ว่าจะเป็นการวางตัวในสังคม การยอมรับของครอบครัว ความสนใจในการศึกษา ความยากลำบากในชีวิตการทำงาน และอื่นๆอีกมากมาย ที่ฉันจะยังไม่เล่าให้ทุกคนฟังค่ะ แต่เรื่องหนึ่งที่ฉันคิดว่ามันเป็นประสบการณ์ที่จะว่าประทับใจก็ใช่ เสียใจก็ใช่ ผิดหวังก็มีอยู่หลายครั้ง นั่นคือประสบการณ์ความรักของฉัน เริ่มต้นที่…

ตอนยังเรียนชั้นประถมฉันเคยคิดว่าฉันชอบผู้หญิง ซึ่งเป็นเพศตรงข้ามกับฉันที่เป็นเพศชาย ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าฉันโดนสอนมาว่าเป็นผู้ชายก็ต้องชอบผู้หญิง และเพื่อนหลายคนของฉันตอนนั้นก็เป็นเด็กผู้ชายที่คาดหวังให้เพื่อนของตนเองมีแฟนเป็นเด็กผู้หญิง ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงกล้าบอกชอบเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในชั้นเรียนของฉัน ฉันยอมรับว่าฉันสับสนอยู่บ้าง ฉันขอใช้คำว่าสับสนที่หลายคนใช้กับฉันในตอนนี้ แต่ ณ เวลานี้ ฉันคิดว่าฉันไม่ได้สับสนอีกแล้ว เพราะฉันชอบผู้ชาย ไม่ใช่ซิจะให้พูดให้ถูกคือฉันเคยมีความรักกับผู้ชายหลายคน และฉันก็สามารถหยิบยื่นมิตรภาพให้กับผู้หญิงได้ ในฐานะที่พวกเราเป็นผู้หญิงเหมือนกับฉันนั้น 

อันที่จริงจะว่าไปตอนเด็กฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรที่เรียกว่าความรักแบบแฟน ฉันมีเพื่อนผู้ชายที่สนิทกันมากคนหนึ่ง แต่ฉันก็มักจะโกรธเขาด้วยเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง นั้นจะเป็นเพราะว่าฉันชอบเขาหรือเปล่า แต่อย่างไรก็ช่าง ฉันยังไม่สามารถหลุดพ้นความคิดที่ว่าเด็กชายต้องชอบกับเด็กหญิงเท่านั้น ทำให้ฉันไม่ได้บอกกับเขาว่าฉันชอบเด็กชายคนนั้น แต่เลือกที่จะบอกกับเพื่อนเด็กหญิงของฉันแทน ด้วยความคาดหวังของสังคม และแรงกดดันจากเพื่อนเด็กชายด้วยกันนั้นเอง แต่นั้นก็แหละ ฉันก็ไม่ได้เป็นแฟนกับเด็กผู้หญิงคนนั้นหรอก เพราะวันที่ฉันบอกเธอนั้นมันเป็นวันสุดท้ายของการจบการศึกษาในระดับประถมศึกษา และฉันมีเรื่องที่ต้องคิด ต้องทำอีกหลายเรื่องทีเดียว เพื่อเตรียมตัวเรียนต่อในโรงเรียนชายระดับมัธยมศึกษาประจำจังหวัด และนั้นถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้วิถีแห่งตัวตนของฉัน เพราะฉันได้ชอบกับเพื่อนผู้ชายอีกหลายคนในเวลาต่อมา 

ฉันคงจะไม่ขอเล่าว่าฉันมีความรักกับใครบ้างในตอนนี้หรอก แต่สัญญากับทุกคนค่ะว่าจะเล่าให้ฟังอีก เพราะที่อยากจะพูดในตอนท้ายนี้คงจะเป็นเรื่องที่ว่า การเป็นผู้ชายที่มีความรักให้กับผู้ชายด้วยกัน คงจะไม่ใช่เรื่องที่ผิด แม้ว่าจะไม่ได้ทำตามสิ่งที่พวกเขาถูกทำให้เชื่อว่าผู้ชายต้องรักกับผู้หญิงเท่านั้น เพราะถ้าเราเชื่อว่าความรักทำให้โลกสวยงาม ฉะนั้นไม่ว่าใคร เพศไหน จะรักกับใครก็ล้วนแล้วแต่ทำให้โลกของเราสวยงามทั้งสิ้น ถึงตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าฉันไม่สับสนที่จะรักและคบหากับผู้ชายในฐานะที่มากกว่าเพื่อน ซึ่งใครมาเห็นฉันตอนนี้ แม้ว่าจะไม่ได้ยอมรับในสิ่งที่ฉันเป็น แต่คงจะเดากันได้ว่าฉันรักได้แต่กับผู้ชายเท่านั้น และแม้ว่าซักวันฉันอาจจะบอกรักกับผู้หญิงคนหนึ่ง และโดนคนอื่นๆตัดสินว่าฉันผิดปกติ หรือสับสนทางเพศซ้ำแล้วซ้ำอีกก็ตาม ทั้งนี้ฉันเชื่อว่าเรื่องเพศไม่เคยหยุดนิ่ง มันสามารถลื่นไหลได้ตลอด ฉะนั้นความเป็นไปได้จึงเกิดขึ้นกับทุกคน ในทุกสภาวการณ์ของชีวิต และนั้นก็ไม่ผิด เพราะโลกของเราจะได้สวยงาม จริงไมคะ 



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

5 เหตุผลทำไมเราจึงต้องพูดเรื่องการเปลี่ยนคำนำหน้านามของหญิงและชายข้ามเพศ (ในประเทศไทย)

ทำไมเราจึงต้องมาพูดเรื่องการเปลี่ยนคำนำหน้านามของหญิงและชายข้ามเพศ: 1. เพราะเพศไม่ได้จำกัดแค่ชายและหญิง ประเทศไทยได้รับการยอมรับจากนานาชาติว่าเป็นประเทศที่ให้การยอมรับกับคนที่มีความหลากหลายทางเพศในเชิงสังคมวัฒนธรรม ถึงขั้นคนต่างชาติยกย่องให้เป็น "the paradise of LGBT" หรือ ''สวรรค์ของเกย์ ชายรักชาย กะเทย คนข้ามเพศ ทอมดี้ หญิงรักหญิง และคนรักสองเพศ" ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะเปลี่ยนผ่านจากการยอมรับเชิงสังคมวัฒนธรรมเป็นการยอมรับเชิงกฎหมายเพื่อสร้างความเท่าเทียมให้กับคนทุกเพศในสังคมไทย 2.การเปลี่ยนคำนำหน้านามของคนข้ามเพศในเอกสารราชการไม่ได้เป็น "สิทธิพิเศษ" น้อยครั้งมากที่บุคคลที่นิยามตัวเองว่าชายหรือหญิงจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ตนถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่อง "ตัวตนทางเพศ" ของตนเองจากเจ้าหน้าที่ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง (ในต่างประเทศ) และบุคคลทั่วไป เพราะตัวตนทางเพศไม่ได้ดูขัดแย้งกับคำนำหน้านามในบัตรประชาชน หนังสือเดินทาง และเอกสารสำคัญทางราชการ ในทางตรงกันข้าม กะเทย และคนข้ามเพศจะต้องตอบคำถามจากคนอีกจำนวนมากถึงความเป็นเพศ ตัวตนทา...

หยุด "กลัว" กะเทย

“เกิดเป็นกะเทยเสียชาติเกิด” “กรรมเก่า … ทำความดีในชาตินี้จะได้เกิดเป็นชายจริงหญิงแท้ในชาติหน้า” “กะเทยควาย กะเทยหัวโปก กะเทยลูกเจี๊ยบ …” “กะเทยห้ามบวช ห้ามเป็นทหาร ห้ามเป็นหมอ ห้ามเป็นครูอาจารย์ ห้ามแต่งหญิงในที่ทำงาน!!!” “กะเทยต้องแต่งหน้า ทำผมเก่ง เต้นเก่ง และ “โม๊ก” เก่ง … ต้องตลก และมีอารมณ์ขัน” ฉันเชื่อว่ากะเทยหลายคนเติบโตมากับเสียงสะท้อนเหล่านี้จากสังคม คนรอบข้าง และจากเพื่อนกะเทยด้วยกัน หลายครั้งชีวิตของคนคนหนึ่งไม่ได้มีอิสระในการเลือกตามความเข้าใจของพวกเรา เมื่อ “ความเป็นเรา” ถูกทำให้เป็นอื่น หรือ “แปลก” และ “แตกต่าง” ความเป็นเราจึงถูกจำกัดทำให้บางครั้งคนคนหนึ่งไม่สามารถเลือกได้ว่า จะใช้ชีวิตแบบใด หรือมีความสนใจในเรื่องใด เพราะเขาหรือเธอไม่อยาก “แปลก” หรือให้ใครเห็นว่าพวกเขา“ต่าง” จากคนอื่นๆ เมื่อการเป็นกะเทยถูกทำให้เป็นเรื่อง “แปลก” ในสังคมไทยที่พร้อมจะตัดสินความแปลกเป็นความ“ผิด” หรือ “ผิดปกติ” เสียงสะท้อนจากสังคม คนรอบข้าง รวมถึงกะเทยคนอื่นๆ จึงจำกัดจินตนาการ และวิถีชีวิตที่หลากหลายของการใช้ชีวิตเป็นมนุษย์ นอกจากนี้การตัดสินว่ากะเทยคนหนึ่งต้องทำหรือไม่ทำอ...

ถ้าวันหนึ่ง...

ถ้าวันหนึ่ง... ประชากรส่วนใหญ่บนโลกเป็นเกย์กะ เทยทอมดี้ ... คนรักต่างเพศจะเป็นคนกลุ่มน้อย ผู้ปกครองประเทศส่วนใหญ่เป็นผู้ หญิง ผู้ชายสามารถท้องแทนภรรยาด้วยนว ัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ ห้องน้ำไม่แยกหญิงชาย แต่เป็นห้องน้ำ Unisex ที่ใครเพศใดจะเข้าก็ได้  คนสามารถเลือกเพศได้ในเอกสารทาง ราชการ ... เลือกที่จะเป็นนางสาวหรือนางก็ไ ด้เมื่อแต่งงาน ใครจะแต่งงานกับใครก็ได้ เรื่องความรักเป็นเรื่องของคนสอ งคน ศาสนาจะไม่ใช่เหตุผลของการทำสงค ราม ระบบการศึกษาจะมีบทเรียนเรื่องเ พศสำหรับเยาวชน ที่ครอบคลุมไปถึงเรื่องความเป็น เพศที่หลากหลาย ครูอาจารย์จะไม่ใช่ศูนย์กลางของ การเรียนการสอน แต่การศึกษาเป็นการสร้างการมีส่ วนร่วมของผู้เรียนและผู้สอน โดยผู้เรียนมีส่วนช่วยคิดแผนการ เรียน การนับถือศาสนาเป็นทางเลือก ศาสนาจะไม่ใช่เครื่องมือตัดสินค วามผิดถูก แต่เป็นสถาบันที่ช่วยพัฒนาความเ ป็นมนุษย์ และจิตวิญญาณของมนุษย์เพื่อนำไป สู่ความผาสุกของสังคม ประชาชนสามารถมีความคิดเห็นแตกต ่างทางการเมือง รัฐจะมีพื้นที่สำหรับคนที่เห็นต ่างได้แสดงออก (การเมืองแบบสองขั้วต่างเป็นการ เมืองที่ไม่สร้างสังคมประชาธิปไ ตย) ระบบสาธา...