“สวัสดีค่ะนักเรียนทุกคนวันนี้เราจะมาเรียนเกี่ยวกับ บุคคลที่อยู่ในกลุ่ม “หลงเพศ”นะคะ เราจะมาเรียนรู้ถึงความหมาย สาเหตุ และการปฏิบัติตัวกับคนกลุ่มนี้กันค่ะ”
“เอาล่ะ กลุ่มหลงเพศหมายถึง กลุ่มที่ต้องการใช้ชีวิตตรงข้ามกับที่ตนเองเป็นอยู่ ถ้าเป็นภาษาชาวบ้านก็หมายถึง กลุ่มกะเทย สาวประเภทสอง ทอม ซึ่งส่วนใหญ่อยากเปลี่ยนแปลงร่างกายให้เป็นเพศตรงข้าม … สาเหตุของการหลงเพศยังไม่ทราบแน่ชัด แต่สันนิษฐานว่าเกิดจากการผิดปกติของโครโมโซม หรือฮอร์โมนเพศที่ไม่สมดุล หรือสารเคมีที่ผู้เป็นแม่รับเข้ามาในขณะตั้งครรภ์ อีกสาเหตุหนึ่งที่มีส่วนเกี่ยวข้องทำให้เด็กโตมาเป็นคนหลงเพศ คือการเลี้ยงดูเด็กที่ไม่เหมาะสม ซึ่งส่งผลกระทบให้เด็กผิดปกติไปจนเกิดอาการหลงเพศ …สำหรับแนวทางการปฏิบัติกับคนกลุ่มนี้นั้น ครูแนะนำให้จำกัดความสัมพันธ์ไว้แค่เพื่อน ถ้าเขาพยายามจะคบเราเป็นแฟน เราสามารถสังเกตพฤติกรรมเกินเพื่อนจากการที่พวกเขาชอบลูบไล้ร่างกายของเพื่อนคนอื่นผิดไปจากเพื่อนตามปกติ มีอารมณ์หึงหวงกับเพื่อนเพศเดียวกัน และแสดงความก้าวร้าวเมื่อถูกปฏิเสธ”
“สุดท้ายครูแนะนำให้พวกเราปฏิบัติตัวแบบนิ่งเฉย เมื่อพบเห็นพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ เราไม่ควรส่งเสริมหรือซ้ำเติมพวกเขา เพราะพฤติกรรมเหล่านี้ยังไม่มีใครทราบสาเหตุที่แท้จริง และยังไม่สามารถแก้ไขได้”
WTF! นี่หรือเมืองพุทธ!!!
ถ้าฉันต้องนั่งในชั้นเรียนที่สอนเรื่องข้างต้น ฉันคงอกแตกตายเพราะอึดอัดกับสิ่งที่อาจารย์สอน หรือถ้าฉันต้องเป็นเด็กนักเรียนประถมศึกษาปีที่หนึ่งที่ต้องเรียนวิชานี้ ฉันคงจะนิ่งเงียบและกลัวที่ทุกคนจะรู้ว่า ตัวตนที่แท้จริงของฉันคือคนในกลุ่มที่ทุกคนเรียกพวกเขาว่า “พวกหลงเพศ” หรือ “เบี่ยงเบนทางเพศ” ฉันคงจะเห็นชีวิตของการเป็นนักเรียนประถมฯของฉันแบบรางๆแล้วว่า จะเต็มไปด้วยความกังวลกับอุปสรรคในการใช้ชีวิตกับเพื่อนคนอื่นๆรอบข้าง รวมถึงอาจารย์ในโรงเรียน เพราะฉันมีอาการ “ผิดปกติ”ที่อาจารย์คนหนึ่งในวิชาสุขศึกษากำลังพร่ำบอกพวกเราอยู่หน้าชั้นเรียน ฉันคงไม่สามารถคาดหวังให้ใครมาเข้าใจในตัวตนที่ฉันเป็นได้ และสุดท้ายฉันคงถูกสะกดให้นั่งเงียบไร้การโต้ตอบ
แน่นอนสิ่งหนึ่งที่อาจารย์ได้ฝากไว้หลังจากการสอนเรื่อง “กลุ่มหลงเพศ” คือ รอยแผลทางใจที่นักเรียนคนหนึ่งโดนทำร้ายจากชุดความคิดความเชื่อในแบบเรียนดังกล่าว หากจะคิดในแง่ดีที่สุด ฉันเชื่อว่าอาจารย์คงไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายนักเรียนของตน เพราะบทเรียนที่อาจารย์คนหนึ่งใช้สอนก็มาจากแบบเรียนที่ทางโรงเรียนได้เลือกใช้ และแบบเรียนนี้ก็ถูกสถาปนาความเป็นมาตรฐานจากกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งมีหน้าที่ดูแลเรื่องการออกคู่มือการเรียนการสอนในรายวิชาต่างๆ เพื่อให้โรงเรียนทุกโรงเรียนในประเทศได้นำมาใช้สอนนักเรียนของตน หากจะให้มองอีกมุมหนึ่ง ฉันคิดว่าระบบการศึกษาแบบไทยกำลังทำร้ายฉัน และนักเรียนคนอื่นๆที่กำลังแสวงหาตัวตน นอกจากนี้ระบบการศึกษาของไทยกำลังฝึกให้เราไม่ตั้งคำถามและเชื่อในสิ่งที่คนส่วนใหญ่เชื่อ เช่น เชื่อในสิ่งที่ผู้ใหญ่บอก เชื่อเพราะคนส่วนใหญ่เป็นหรือปฏิบัติ รวมถึงเรื่องเพศที่ทุกคนเชื่อว่าเพศมีเพียงสองเพศเท่านั้น ในทางกลับกัน ระบบการศึกษาของไทยไม่เชื่อว่าพวกเราทุกคนสามารถแสวงหาตัวตนทางเพศที่ลื่นไหลเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ชีวิต และจำกัดเสรีภาพในการเลือกในสิ่งที่พวกเราเชื่อว่าถูกจริตกับเรา เพราะสิ่งที่เราเลือกกลายเป็นสิ่งที่สังคมไทยไม่เห็นด้วย เพราะสังคมคิดว่าเราเลือก “ผิด” หรือ “หลง (ทาง)” และนั้นรวมถึงการเลือกตัวตนทางเพศที่ต่างจากผู้ชายหรือผู้หญิงของเราด้วยเช่นกัน
เมื่อนักเรียนหรือเด็กได้เรียนเรื่อง“กลุ่มหลงเพศ”ซึ่งมีข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน และเต็มไปด้วยการชี้นำที่สร้างให้เกิดอคติทางเพศต่อคนที่นิยามตนเองต่างจากชายหญิง อคติเหล่านี้จะเติบโตไปกับนักเรียนที่รับข้อมูลชุดดังกล่าวผ่านระบบการศึกษา และจากสังคมภายนอกที่ยังมองเรื่องความหลากหลายทางเพศอย่างมีอคติ ส่งผลให้เด็กเชื่อว่า “กลุ่มหลงเพศ” ที่รวมถึงคนที่เป็นกะเทย ชายรักชาย หญิงรักหญิง หรือคนที่รักทั้งสองเพศ มีความผิดปกติ ไม่เป็นธรรมชาติ และมีปมด้อยจากการเลี้ยงดูที่ผิดพลาดไม่สมดุล ถ้าอคติชุดนี้เติบโตกับกลุ่มคนที่มีอำนาจทางสังคม พวกเขาเหล่านั้นจะทำหน้าที่เป็นผู้อุปถัมภ์ และผลิตซ้ำอคติที่เขาได้รับ และส่งผ่านอคติเหล่านั้นไปกับชุดนโยบาย และกฎระเบียบที่พวกเขาเป็นผู้กำหนด ออกไปสู่สังคมในวงกว้าง ยกตัวอย่างเช่น ถ้าบุคคลคนนั้นเติบโตเป็นนายแพทย์ที่มีอคติต่อกะเทย เขาคนนั้นจะปฏิบัติต่อผู้มารับการรักษาที่เป็นกะเทยแตกต่างจากคนที่เป็นผู้ชายหรือผู้หญิง เพราะนอกจากคนไข้ของเขาจะมีอาการป่วยทางกายแล้ว กะเทยยังมีอาการป่วยจากการเป็นคน “หลงเพศ” อีกด้วย
สำหรับคนที่นิยามว่าตนเองเป็นกะเทย สาวประเภทสอง หรือคนข้ามเพศที่เติบโตด้วยชุดข้อมูลเรื่อง “กลุ่มหลงเพศ” นอกจากพวกเขาจะเติบโตกับอคติของคนรอบข้างแล้ว พวกเขายังซึมซับอคติเหล่านั้น และผนวกมันไปกับวิถีการใช้ชีวิตของพวกเขา ซึ่งส่งผลให้พวกเขาเติบโตกับความรู้สึกผิด และกังวลในหลายระดับ เช่น รู้สึกกังวลว่าคนรอบข้างหรือสังคมมองว่าผิดปกติ รู้สึกผิดกับพ่อแม่ที่ไม่สามารถเป็นชายหญิงตามความคาดหวัง รู้สึกกังวลว่าตนเองจะไม่มีใครรักและเข้าใจรู้สึก ไม่มั่นใจในตัวตนทางเพศของตนเอง กังวลที่จะแสดงความต้องการ ความรัก และความรู้สึก ทั้งนี้แต่ละคนมักจะจัดการกับความรู้สึกผิดและความกังวลนั้นต่างกัน
เมื่อฉันมองย้อนไปในอดีต ฉันก็เป็นเด็กคนหนึ่งที่มักจะรู้สึกกังวลอยู่บ่อยครั้งเกี่ยวกับตัวตนทางเพศของตนเอง ฉันไม่ได้เป็นคนที่มั่นใจในตัวเอง เพราะฉันมักจะกลัวที่จะแสดงความรู้สึก และบอกกับใครๆว่าฉันไม่ได้เป็นผู้ชายอย่างที่ใครหลายคนคิด หรือคาดหวัง ฉันมักจะพบว่าฉันตั้งคำถามกับตัวเองบ่อยครั้งถึงความเป็นกะเทยของฉัน และความคิดที่ว่าฉันมีปมด้อยกว่าคนหลายคน ประโยคเดิมๆ เช่น “ฉันคงทำได้ดีกว่านี้ถ้าฉันเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง” มักจะอยู่ในห้วงความคิดฉันอยู่เสมอ ฉันอาจจะโชคดีที่ฉันเติบโตมากับครอบครัวที่รักและเข้าใจ และแม้ว่าฉันจะเป็นกะเทย แต่ความเป็นคนชนชั้นกลางของฉัน ทำให้ฉันสามารถเข้าถึงทัพยากรทางสังคมได้ไม่ต่างจากคนอื่นๆ ฉันค้นพบอคติของฉันภายหลังเมื่อฉันโตขึ้น และพยายามเปลี่ยนความคิดความเชื่อที่เป็นอคติเกี่ยวกับตัวตนทางเพศของตนเอง ให้กลายเป็นแรงผลักในการทำงานเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม ซึ่งแน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวใช้เวลาและทำได้ไม่ง่ายนัก
พวกเราและลูกหลานของพวกเรากำลังใช้ชีวิตอยู่ในสังคมที่เต็มไปด้วยอคติ อคติอันยาวนานที่มีรากฐานมาจากระบบการศึกษาที่ปรับตัวอย่างล่าช้า และไม่ทันสถานการณ์โลกในปัจจุบัน ระบบการศึกษาไทยกำลังหลงทางด้วยทัศนคติที่เกลียดกลัวคนข้ามเพศ หรือกะเทย (transphobia) และแสดงอาการกลัวนั้นโดยใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือในการควบคุมความคิดของคนในสังคม และสร้างกลไกให้สังคมมองกะเทย และบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศกลุ่มอื่นๆ ว่าผิดปกติ อีกทั้งยังเสนอแนะวิธีการปฏิบัติกับคนกลุ่มนี้อย่างมีอคติอีกด้วย เมื่อคิดในทางตรงกันข้าม การศึกษาควรจะทำหน้าที่ส่งเสริมให้คนตั้งคำถามกับความคิดความเชื่อที่แฝงอคติ และเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหา หากแต่ระบบการศึกษาไทยกำลังสร้างสมาชิกของสังคมที่เป็นสาเหตุของปัญหาความรุนแรงและความไม่เป็นธรรมทางเพศที่เพิ่มขึ้น และผลิตซ้ำความเชื่อชุดเดิมๆ ภายใต้ระบบการศึกษาไทยแบบไดโนเสาร์
ฉันอยากจะเห็นการศึกษาไทยที่สอนให้คนรักในตัวตนทางเพศที่ตนได้เลือก สอนให้เยาวชนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกที่ไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของคนอื่น และฉันอยากเห็นห้องเรียนที่ปราศจากทัศนคติในแง่ลบต่อบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ และผลิตความเชื่อที่ปราศจากอคติที่เป็นประโยชน์ต่อคนทุกเพศ โดยสร้างให้ทุกคนเห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์ไม่ว่าใครจะนิยามตัวตนทางเพศแบบใดก็ตาม ถึงเวลาแล้วที่ระบบการศึกษาของไทยที่ “หลงทาง” ต้องปรับปรุงแบบเรียนเรื่องเพศและความหลากหลายทางเพศที่ลดอคติ และท้าทายความคิดความเชื่อของสมาชิกในสังคมที่ยังมีทัศนคติในทางลบกับกะเทยและคนที่มีความหลากหลายทางเพศกลุ่มอื่นๆ …
และ ฉันเชื่อว่า ระบบการศึกษาที่ปราศจากอคติทางเพศจะนำไปสู่สังคมที่ความเสมอภาค และความเท่าเทียมเป็นแกนกลางในการดำเนินชีวิตของเราทุกคน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น