ฉันเกิดความคิดขึ้นมาได้ว่า พัทยา มีเสน่ห์ที่ไม่เหมือนเมืองท่องเที่ยวเมืองอื่นๆ ก็ตรงที่ว่ามันเป็นเมืองแห่งความหลากหลาย ความหลากหลายที่ว่านี้ ฉันคงไม่ได้หมายถึง ความหลากหลายของสถานที่ท่องเที่ยวทั้งเชิงธรรมชาติ หรือสิ่งปลูกสร้างที่มนุษย์พากันสร้างขึ้น และเสมือนว่าพวกมันจะผุดขึ้นมาเองอย่างไม่มีหยุด นอกจากนี้ฉันก็ไม่ได้หมายความถึงความหลากหลายของวัฒนธรรมทางภาษา อันมีที่มาจากการที่พัทยาเป็นเมืองท่องเที่ยวที่รวมคนจากหลากหลายชนชาติทั้งเอเชีย และชาวตะวันตก แต่นั้นก็ถือเป็นจุดหนึ่งแห่งความหลากหลายที่ฉันจะได้พูดถึงต่อไป
ความหลากหลายที่ฉันกำลังจะพูดถึงนี้ คือความหลากหลายแห่งอัตลักษณ์ทางเพศของผู้คนที่ทั้งอาศัยอยู่ในเมืองนี้ และของนักเดินทางที่ได้มาเยือนที่นี้ ไม่ว่าจะเป็นขาจรหรือขาประจำ ฉันได้ตั้งคำถามมากมายกับความหลากหลายนี้ จากการสังเกตที่ใช้เวลาเพียงแค่ดื่มกาแฟหนึ่งแก้ว ชั้นสังเกตเห็น…
ผู้ชายสองคนเดินจูงมือกัน สายตาของพวกเขาบ่งบอกถึงความสุข ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ราวกับว่าพวกเขาอยู่กันตามลำพัง ซึ่งพวกเขาจะรู้หรือไม่ว่ามีใครอีกหลายคนมองอยู่ สำหรับฉันคงไม่ได้ตั้งคำถามกับความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ หรือมองว่ามันเป็นเรื่องที่แปลกและผิดปกติ แต่ฉันคิดว่าพวกเขาน่าจะได้รับความชื่นชมจากความกล้าหาญนั้น เพราะคนส่วนใหญ่คงจะไม่คิดว่าจะมีผู้ชายที่ไหนจูงมือกันเดินหรอก ยิ่งถ้าเป็นสถานที่สาธารณะแบบนี้แล้วด้วย ยิ่งทำให้ความเป็นไปได้เข้าใกล้ศูนย์มากขึ้น…และนั้นต่างหากที่ถือว่าเป็นความคิดที่ผิดปกติสำหรับฉัน ทั้งยังเป็นการเอาบรรทัดฐานของตนเองมาตัดสินคนอื่นว่าผู้ชายเดินจูงมือกับผู้ชายเป็นเรื่องที่ผิด และหยิบยื่นความเป็นอื่น โดยเรียกพวกเขาเหล่านั้นว่า “เกย์”
ผู้หญิงผิวสีเข้มวัยยี่สิบต้นๆเดินจูงมือกับฝรั่งสูงอายุเดินผ่านมายังจุดที่ฉันนั่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก และเราสามารถพบเห็นภาพเหล่านี้ยังมุมต่างๆของเมืองท่องเที่ยวแห่งนี้ นอกจากนี้ฉันเห็นหญิงชายคู่หนึ่งหยอกล้อเล่นกัน และใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปของกันและกัน แน่นอนว่าผู้หญิงเป็นผู้หญิงชาวไทย ส่วนผู้ชายเป็นผู้ชายผิวขาว ฉันเข้าใจว่าใครได้ผ่านมาเห็นภาพนี้คงจะเหมารวมกันไปว่าผู้หญิงทั้งคู่ทำงานบาร์ใดบาร์หนึ่งเป็นแน่ และฝรั่งเหล่านั้นก็คือคนที่เธอเรียกว่า “แขก” หรือลูกค้านั้นเอง ดิฉันคิดว่านั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร หากใครซักคนจะทำอาชีพโดยใช้เรือนร่างของตน ขอย้ำว่าเป็นร่างกายของพวกเขาเอง ในการทำงานเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวและตนเอง แม้ว่าใครคนใดจะมองว่าอาชีพเหล่านั้นไม่มีศักดิ์ศรี หากแต่ว่าความหมายของคำว่าศักดิ์ศรีนั้นหมายถึงการพยายามยืนด้วยลำแข้งของตนเอง ก็นับได้ว่าอาชีพเหล่านี้เป็นอาชีพที่มีศักดิ์ศรีอยู่ไม่น้อย และมีสิทธิอันสมบูรณ์ในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่ไม่ต่างกับคนที่ประกอบอาชีพอื่นๆเลย ซึ่งจะมีใครรู้ไหมว่าการทำอาชีพค้าร่างคืองานบริการงานหนึ่งที่ทำให้พัทยาเป็นเมืองแห่งความหลากหลาย และเป็นพื้นที่ที่ทำให้คนประกอบอาชีพนี้ยืนอยู่ได้ โดยไม่ได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจจากคนทั่วไปที่ใช้ความคิดของตนเองตัดสินคนที่ทำอาชีพนี้ว่าผิด มั่วหรือสำส่อน ทั้งๆที่การเราก็ยังมีเพศสัมพันธ์ไม่ต่างจากคนเหล่านั้น ที่สุดนี้ฉันคิดว่าหญิงสาวเหล่านั้นอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันเล่ามาก็ได้ แต่ภาพมายาคติที่ยากที่จะลบได้ของคนส่วนใหญ่ในสังคมบ้านเรา ทำให้เหมารวมไปว่าพวกเธอเหล่านั้นต้องเป็นเช่นนั้น
ฉันได้เล่าถึงความเป็นอื่นที่ต่างจากสังคมของเมืองอื่น ซึ่งเป็นเสน่ห์ของเมืองพัทยา และเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับฉันไปแล้ว แต่ครั้งหนึ่งฉันเคยคิดว่ามันเป็นเรื่องแปลก หากจะได้เห็นผู้หญิงใส่กางเกงขาสั้น (สั้นมาก) และเสื้อเอวลอย หรือใส่เสื้อที่ปิดแค่หน้าอก แม้ว่ารูปร่างของพวกเธอจะเป็นเช่นใดก็ตาม ชั้นก็เผลอคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ผิด ที่ผู้หญิงที่ดีไม่สมควรทำ แต่นั้นก็ไม่ได้มีแค่คนเดียวในพัทยา ฉันลืมนึกไปว่าฉันได้นำพาความคิดที่ฉันโดนหล่อหลอมตั้งแต่เด็ก ด้วยวาทกรรมของความเป็นกุลสตรีไปตัดสินคนกลุ่มหนึ่งที่มีวัฒนธรรมย่อยของพวกเขาเอง และยังอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความหลากหลายแห่งนี้
ท้ายที่สุดนี้ ฉันอยากจะขอบคุณทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของฉัน แม้ว่าเราจะไม่รู้จักกันเลยก็ตาม รวมถึงคนที่ฉันพึ่งเล่าเรื่องราวของพวกคุณ เพียงเพื่อหวังว่าพวกคุณทุกคนจะช่วยเปิดโลกทัศน์ให้กับคนทั่วไปของสังคม ช่วยเปลี่ยนมายาคติของพวกเขาที่มีกับพวกคุณ ให้เห็นว่าความหลากหลายเป็นทางเลือก และช่วยทำให้พวกเขาตาสว่าง และไม่ใช้วิธีการตัดสินคน โดยเอาหลักการของความเป็นเรา มาตัดสินความเป็นเขา (คนอื่น) โดยมองว่าความเป็นอื่นและความแตกต่างเป็นเรื่องผิดปกติของสังคม หรือเป็นความเบี่ยงเบน เพราะนั้นไม่ได้ช่วยทำให้สังคมไทยของเราพัฒนาได้เลย หากแต่จะทำให้สังคมของพวกเราทุกคนจมอยู่กับอคติ อันจะเข้าทำนองสุภาษิตที่ว่า “กบในกะลา” เสียมากกว่า
ความหลากหลายที่ฉันกำลังจะพูดถึงนี้ คือความหลากหลายแห่งอัตลักษณ์ทางเพศของผู้คนที่ทั้งอาศัยอยู่ในเมืองนี้ และของนักเดินทางที่ได้มาเยือนที่นี้ ไม่ว่าจะเป็นขาจรหรือขาประจำ ฉันได้ตั้งคำถามมากมายกับความหลากหลายนี้ จากการสังเกตที่ใช้เวลาเพียงแค่ดื่มกาแฟหนึ่งแก้ว ชั้นสังเกตเห็น…
ผู้ชายสองคนเดินจูงมือกัน สายตาของพวกเขาบ่งบอกถึงความสุข ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ราวกับว่าพวกเขาอยู่กันตามลำพัง ซึ่งพวกเขาจะรู้หรือไม่ว่ามีใครอีกหลายคนมองอยู่ สำหรับฉันคงไม่ได้ตั้งคำถามกับความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ หรือมองว่ามันเป็นเรื่องที่แปลกและผิดปกติ แต่ฉันคิดว่าพวกเขาน่าจะได้รับความชื่นชมจากความกล้าหาญนั้น เพราะคนส่วนใหญ่คงจะไม่คิดว่าจะมีผู้ชายที่ไหนจูงมือกันเดินหรอก ยิ่งถ้าเป็นสถานที่สาธารณะแบบนี้แล้วด้วย ยิ่งทำให้ความเป็นไปได้เข้าใกล้ศูนย์มากขึ้น…และนั้นต่างหากที่ถือว่าเป็นความคิดที่ผิดปกติสำหรับฉัน ทั้งยังเป็นการเอาบรรทัดฐานของตนเองมาตัดสินคนอื่นว่าผู้ชายเดินจูงมือกับผู้ชายเป็นเรื่องที่ผิด และหยิบยื่นความเป็นอื่น โดยเรียกพวกเขาเหล่านั้นว่า “เกย์”
ผู้หญิงผิวสีเข้มวัยยี่สิบต้นๆเดินจูงมือกับฝรั่งสูงอายุเดินผ่านมายังจุดที่ฉันนั่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก และเราสามารถพบเห็นภาพเหล่านี้ยังมุมต่างๆของเมืองท่องเที่ยวแห่งนี้ นอกจากนี้ฉันเห็นหญิงชายคู่หนึ่งหยอกล้อเล่นกัน และใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปของกันและกัน แน่นอนว่าผู้หญิงเป็นผู้หญิงชาวไทย ส่วนผู้ชายเป็นผู้ชายผิวขาว ฉันเข้าใจว่าใครได้ผ่านมาเห็นภาพนี้คงจะเหมารวมกันไปว่าผู้หญิงทั้งคู่ทำงานบาร์ใดบาร์หนึ่งเป็นแน่ และฝรั่งเหล่านั้นก็คือคนที่เธอเรียกว่า “แขก” หรือลูกค้านั้นเอง ดิฉันคิดว่านั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร หากใครซักคนจะทำอาชีพโดยใช้เรือนร่างของตน ขอย้ำว่าเป็นร่างกายของพวกเขาเอง ในการทำงานเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวและตนเอง แม้ว่าใครคนใดจะมองว่าอาชีพเหล่านั้นไม่มีศักดิ์ศรี หากแต่ว่าความหมายของคำว่าศักดิ์ศรีนั้นหมายถึงการพยายามยืนด้วยลำแข้งของตนเอง ก็นับได้ว่าอาชีพเหล่านี้เป็นอาชีพที่มีศักดิ์ศรีอยู่ไม่น้อย และมีสิทธิอันสมบูรณ์ในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่ไม่ต่างกับคนที่ประกอบอาชีพอื่นๆเลย ซึ่งจะมีใครรู้ไหมว่าการทำอาชีพค้าร่างคืองานบริการงานหนึ่งที่ทำให้พัทยาเป็นเมืองแห่งความหลากหลาย และเป็นพื้นที่ที่ทำให้คนประกอบอาชีพนี้ยืนอยู่ได้ โดยไม่ได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจจากคนทั่วไปที่ใช้ความคิดของตนเองตัดสินคนที่ทำอาชีพนี้ว่าผิด มั่วหรือสำส่อน ทั้งๆที่การเราก็ยังมีเพศสัมพันธ์ไม่ต่างจากคนเหล่านั้น ที่สุดนี้ฉันคิดว่าหญิงสาวเหล่านั้นอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันเล่ามาก็ได้ แต่ภาพมายาคติที่ยากที่จะลบได้ของคนส่วนใหญ่ในสังคมบ้านเรา ทำให้เหมารวมไปว่าพวกเธอเหล่านั้นต้องเป็นเช่นนั้น
ฉันได้เล่าถึงความเป็นอื่นที่ต่างจากสังคมของเมืองอื่น ซึ่งเป็นเสน่ห์ของเมืองพัทยา และเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับฉันไปแล้ว แต่ครั้งหนึ่งฉันเคยคิดว่ามันเป็นเรื่องแปลก หากจะได้เห็นผู้หญิงใส่กางเกงขาสั้น (สั้นมาก) และเสื้อเอวลอย หรือใส่เสื้อที่ปิดแค่หน้าอก แม้ว่ารูปร่างของพวกเธอจะเป็นเช่นใดก็ตาม ชั้นก็เผลอคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ผิด ที่ผู้หญิงที่ดีไม่สมควรทำ แต่นั้นก็ไม่ได้มีแค่คนเดียวในพัทยา ฉันลืมนึกไปว่าฉันได้นำพาความคิดที่ฉันโดนหล่อหลอมตั้งแต่เด็ก ด้วยวาทกรรมของความเป็นกุลสตรีไปตัดสินคนกลุ่มหนึ่งที่มีวัฒนธรรมย่อยของพวกเขาเอง และยังอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความหลากหลายแห่งนี้
ท้ายที่สุดนี้ ฉันอยากจะขอบคุณทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของฉัน แม้ว่าเราจะไม่รู้จักกันเลยก็ตาม รวมถึงคนที่ฉันพึ่งเล่าเรื่องราวของพวกคุณ เพียงเพื่อหวังว่าพวกคุณทุกคนจะช่วยเปิดโลกทัศน์ให้กับคนทั่วไปของสังคม ช่วยเปลี่ยนมายาคติของพวกเขาที่มีกับพวกคุณ ให้เห็นว่าความหลากหลายเป็นทางเลือก และช่วยทำให้พวกเขาตาสว่าง และไม่ใช้วิธีการตัดสินคน โดยเอาหลักการของความเป็นเรา มาตัดสินความเป็นเขา (คนอื่น) โดยมองว่าความเป็นอื่นและความแตกต่างเป็นเรื่องผิดปกติของสังคม หรือเป็นความเบี่ยงเบน เพราะนั้นไม่ได้ช่วยทำให้สังคมไทยของเราพัฒนาได้เลย หากแต่จะทำให้สังคมของพวกเราทุกคนจมอยู่กับอคติ อันจะเข้าทำนองสุภาษิตที่ว่า “กบในกะลา” เสียมากกว่า

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น