ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก เมษายน, 2015

หยุด "กลัว" กะเทย

“เกิดเป็นกะเทยเสียชาติเกิด” “กรรมเก่า … ทำความดีในชาตินี้จะได้เกิดเป็นชายจริงหญิงแท้ในชาติหน้า” “กะเทยควาย กะเทยหัวโปก กะเทยลูกเจี๊ยบ …” “กะเทยห้ามบวช ห้ามเป็นทหาร ห้ามเป็นหมอ ห้ามเป็นครูอาจารย์ ห้ามแต่งหญิงในที่ทำงาน!!!” “กะเทยต้องแต่งหน้า ทำผมเก่ง เต้นเก่ง และ “โม๊ก” เก่ง … ต้องตลก และมีอารมณ์ขัน” ฉันเชื่อว่ากะเทยหลายคนเติบโตมากับเสียงสะท้อนเหล่านี้จากสังคม คนรอบข้าง และจากเพื่อนกะเทยด้วยกัน หลายครั้งชีวิตของคนคนหนึ่งไม่ได้มีอิสระในการเลือกตามความเข้าใจของพวกเรา เมื่อ “ความเป็นเรา” ถูกทำให้เป็นอื่น หรือ “แปลก” และ “แตกต่าง” ความเป็นเราจึงถูกจำกัดทำให้บางครั้งคนคนหนึ่งไม่สามารถเลือกได้ว่า จะใช้ชีวิตแบบใด หรือมีความสนใจในเรื่องใด เพราะเขาหรือเธอไม่อยาก “แปลก” หรือให้ใครเห็นว่าพวกเขา“ต่าง” จากคนอื่นๆ เมื่อการเป็นกะเทยถูกทำให้เป็นเรื่อง “แปลก” ในสังคมไทยที่พร้อมจะตัดสินความแปลกเป็นความ“ผิด” หรือ “ผิดปกติ” เสียงสะท้อนจากสังคม คนรอบข้าง รวมถึงกะเทยคนอื่นๆ จึงจำกัดจินตนาการ และวิถีชีวิตที่หลากหลายของการใช้ชีวิตเป็นมนุษย์ นอกจากนี้การตัดสินว่ากะเทยคนหนึ่งต้องทำหรือไม่ทำอ...

แบบเรียน "หลงทาง" กับกลุ่มคน "หลงเพศ"

“สวัสดีค่ะนักเรียนทุกคนวันนี้เราจะมาเรียนเกี่ยวกับ บุคคลที่อยู่ในกลุ่ม “หลงเพศ”นะคะ เราจะมาเรียนรู้ถึงความหมาย สาเหตุ และการปฏิบัติตัวกับคนกลุ่มนี้กันค่ะ” “เอาล่ะ กลุ่มหลงเพศหมายถึง กลุ่มที่ต้องการใช้ชีวิตตรงข้ามกับที่ตนเองเป็นอยู่ ถ้าเป็นภาษาชาวบ้านก็หมายถึง กลุ่มกะเทย สาวประเภทสอง ทอม ซึ่งส่วนใหญ่อยากเปลี่ยนแปลงร่างกายให้เป็นเพศตรงข้าม … สาเหตุของการหลงเพศยังไม่ทราบแน่ชัด แต่สันนิษฐานว่าเกิดจากการผิดปกติของโครโมโซม หรือฮอร์โมนเพศที่ไม่สมดุล หรือสารเคมีที่ผู้เป็นแม่รับเข้ามาในขณะตั้งครรภ์ อีกสาเหตุหนึ่งที่มีส่วนเกี่ยวข้องทำให้เด็กโตมาเป็นคนหลงเพศ คือการเลี้ยงดูเด็กที่ไม่เหมาะสม ซึ่งส่งผลกระทบให้เด็กผิดปกติไปจนเกิดอาการหลงเพศ …สำหรับแนวทางการปฏิบัติกับคนกลุ่มนี้นั้น ครูแนะนำให้จำกัดความสัมพันธ์ไว้แค่เพื่อน ถ้าเขาพยายามจะคบเราเป็นแฟน เราสามารถสังเกตพฤติกรรมเกินเพื่อนจากการที่พวกเขาชอบลูบไล้ร่างกายของเพื่อนคนอื่นผิดไปจากเพื่อนตามปกติ มีอารมณ์หึงหวงกับเพื่อนเพศเดียวกัน และแสดงความก้าวร้าวเมื่อถูกปฏิเสธ” “สุดท้ายครูแนะนำให้พวกเราปฏิบัติตัวแบบนิ่งเฉย เมื่อพบเห็นพฤติกรรมเบี่ยงเบนทาง...

กะเทย: ภาษา อำนาจ และ ชนชั้น

“กูเกลียดกะเทยเกลียดตุ๊ดชิบหาย แม่งไอ้สัตว์ พวกวิปริต พ่อก็ด่า พ่อเกลียดมาก แล้วพ่อก็เล่าให้แม่เลี้ยงฟังตอนนั้นนั่งกินข้าวด้วยกัน แล้วพ่อก็บอกว่า กูตอนเป็นหนุ่มๆ แม่งมีกะเทยมาแซวกูขายก๋วยเตี๋ยว แล้วก็พยายามมาแซว กูเตะแม่งคว่ำ แล้วก็เยี่ยวใส่หม้อก๋วยเตี๋ยว พ่อบอกกูนี่เกลียดตุ๊ด ไอ้เหี้ย พวกนี้เกิดมาแม่งเสียชาติเกิด…พ่อก็เลยหันมาบอกถ้ามึงเป็นกะเทยนะ กูจะเอามีดปาดคอมึงให้ตาย แม่งอย่าเกิดมาเป็นลูกกู” เรื่องจริงจากบทสนทนาที่ฉันกับเพื่อนสนิทคนหนึ่งไดัแบ่งปันประสบการณ์การเป็นกะเทยในวัยเด็กของเราทั้งคู่ เพื่อนคนนี้ของฉันยังคงจำคำพูดของพ่อเธอได้ดีเวลาคิดถึงพ่อที่จากไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน ฉันคิดว่ากะเทยหลายคนคงมีประสบการณ์ในการแสวงหาตัวตนที่ไม่ต่างกันมากนัก หลายคนมองว่าคำว่า“กะเทย” เป็นคำที่มีความหมายในเชิงล้อเลียน กลั่นแกล้ง หรือดูถูก เพราะคนรอบข้างของพวกเธอใช้คำนี้เรียกพวกเธอ ทั้งที่พวกเธอยินยอม หรือยอมจำนน โดยสิ่งที่คนอื่นหยิบยื่นให้พวกเธอ คือการตีตรา และลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ของกะเทยคนหนึ่ง คิดในทางกลับกัน เราคงไม่เรียกมนุษย์ผู้ชายคนหนึ่งว่า “ผู้ชาย” นอกจากจะเรียกชื่อของเขาคนนั้น และตระห...

แม่เขียนเล่า...(เมื่อหลายปีก่อน)

บทความนี้คัดลอกมาจากบทความที่แม่ของฉันเป็นผู้เขียนให้กับฉันถึง เรื่องของการยอมรับของท่านต่อตัวตนทางเพศที่เป็นกะเทยของฉัน โดยบางช่วงของบทความนี้ถูกนำไปประกอบบทความเรื่องแม่รับได้: การยอมรับของครอบครัวที่มีลูกเป็นบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งถูกเขียนไว้ดังนี้ "ข้าพเจ้าแต่งงานมาเมื่ออายุได้ 22 ปี ส่วนสามีอายุได้ 32 ปี แต่งงานเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2509 พอดีปี 2 510 ข้าพเจ้ามีลูกคนที่ 1 เป็นผู้หญิง พอปี 2511 ข้าพเจ้าก็มีลูกอีก 1 คนเป็นผู้ชาย แต่ไม่ได้เลี้ยงเพราะเขาได้เสียชีวิตไปตั้งแต่เกิดมาดูโลกได้ 8 ชั่วโมง เพราะเขาคลอดก่อนกำหนด ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าก็ไม่มีลูกอีกเลย จนไปหาหมอมาหลายๆที่จนข้าพเจ้าอายุได้ 33 ปี คุณหมอก็ให้คำปลอบใจว่าอายุก็แก่แล้วไม่ต้องเอาแล้ว หมอยังไม่มีลูกเลย แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ละความพยายามเพราะอยากได้ลูกชายไว้สืบสกุลเพราะพ่อของเขาเป็นคนจีน เขาอยากได้ลูกผู้ชาย ข้าพเจ้าก็หวังอยู่ว่าบุญมีเราต้องได้ลูก ผลสุดท้ายเราก็ได้ลูกผู้ชายตามความปรารถนา วันที่ข้าพเจ้าคลอดลูกออกมาเป็นผู้ชาย คุณพ่อเขาดีใจมากที่ได้ลูกชาย จนพาเพื่อนๆ ไปเลี้ยงฉลองกันคืนนั้นเลย แต่มาเดี๋ยวนี้ลูกที่...

หยุด “ฆ่า” ฉัน

จากรายงานการวิจัยของสหภาพคนข้ามเพศยุโรป (Transgender Europe) ภายใต้โครงการการติดตามการสังหารคนข้ามเพศ พบว่า สถิติการสังหารคนข้ามเพศ (ในที่นี้รวมถึงกะเทย สาวประเภทสอง หรือเกย์สาวที่นิยามตนเองว่าเป็นกะเทยหรือคนข้ามเพศ) พบว่า คนข้ามเพศหนึ่งคนจะถูกสังหารทุกๆ 72 ชั่วโมงทั่วโลกเนื่องจากความเกลียดชังด้วยเหตุแห่งความแตกต่างทางเพศ หรือ โฮโมโฟเบียและทรานซ์โฟเบีย (homophobia and transphobia) ในประเทศไทยนั้นแม้ว่าจะไม่มีการทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างแพร่หลาย งานวิจัยของโครงการเพศวิถีที่หลากหลายในความหมายของครอบครัว โดยมูลนิธิเพื่อสิทธิและความเป็นธรรมทางเพศพบว่า คนข้ามเพศหรือกะเทยตกเป็นเป้าหมายของการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนและการกระทำความรุนแรงมากกว่ากลุ่มความหลากหลายทางเพศกลุ่มอื่นๆ เช่น กลุ่มเกย์หรือกลุ่มชายรักชาย และกลุ่มเลสเบี้ยน หรือกลุ่มหญิงรักหญิง จากงานวิจัยดังกล่าว ทำให้กะเทยไทยอย่างฉันต้องมานั่งทบทวนประสบการณ์ชีวิตการเป็นกะเทยที่เติบโตในแผ่นดินไทยประเทศที่ทำให้ฉันเชื่อว่า เราเป็นประเทศที่รักความสงบ เราคนไทยดำเนินชีวิตแบบวิถีพุทธ เราไม่นิยมการจัดการปัญหาแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ฉะนั้น ...

ผู้หญิงอย่าหยุดสวย?

ทำไมกะเทยต้องสวย ทำไมกะเทยต้องเหมือนผู้หญิง ถ้าชั้นไม่เคยตั้งคำถามเหล่านี้ ชั้นคงจะใช้เวลา กำลังทรัพย์ และความพยายามทำให้ตัวเองเหมือนผู้หญิงในแต่ละวันจนไม่ได้มีกำลังกาย ทรัพย์ และเวลาไปทำกิจกรรมสำคัญอย่างอื่นในชีวิต ชั้นเข้าใจดีว่าความสวยคืออำนาจแบบหนึ่งที่ถูกพลิตซ้ำผ่านวาทกรรมด้านสุขภาพ เทคโนโลยี ในสังคมทุนนิยมที่บางครั้งความสวยสามารถนำมาขายเป็นสินค้าและบริการ ผู้หญิงอย่าหยุดสวย...สโลแกนติดปากที่กะเทยหลายคนใช้พูดเพื่อเปรียบเปรยถึงความพยายามอย่างแสนสาหัสที่จะทำตัวเองให้สวย และได้มาซึ่งอำนาจทางสังคม "ความสวย" ที่ไม่ว่าผู้หญิงหรือกะเทยหลายคนสามารถซื้อได้ด้วย "เงิน" สร้างได้ด้วย "วิทยาการทางการแพทย์" กะเทยหลายคนจึงใช้ทรัพย์ที่หามาได้ไปกับความพยายามที่จะสวย ทั้งเพื่อให้ได้ความสวยที่ตนต้องการ รักษาความสวยนั้นไว้ หรือแม้กระทั่งเพื่อชะลอความสวยที่มักจะโรยล่วงไปกับกาลเวลา ไม่เชื่อลองสังเกตดูว่ากะเทยใช้ทรัพยากรทางเวลาไปกับความสนใจในเรื่องเนื้อตัวร่างกาย และเรื่องความสวยงามมากเพียงใด กะเทยหนึ่งคนอาจจะใช้เวลาทั้งวันไปกับการถือกระจกเพื่อส่องใบหน้า ประหนึ่งใบหน้าเป...

กะเทย โซเชลมีเดีย (Social Media) และความน่ากลัวของโลกแห่งการ “กดไลค์”

“เมื่อโลกเสมือนจริงได้ฉายภาพความเป็นไปของสังคมของผู้คนในยุคแห่งการสื่อสารไร้พรมแดน โลกเสมือนจริงจึงน่ากลัวกว่าโลกแห่งความจริงหลายเท่านัก” ชั้นไม่ได้พูดเรื่องนี้อย่างลอยไปลอยมาตามประสากะเทยที่ชอบเพ้อเจ้อเท่านั้น แต่ทุกวันนี้เราต่างใช้อินเตอร์เน็ตโดยมีเป้าหมายที่หลากหลาย ตั้งแต่การแสวงหาความบันเทิงไปจนถึงการแลกเปลี่ยนทางการค้าและบริการ เราต่างปฏิเสธไม่ได้ว่าอินเตอร์เน็ตเป็นเครื่องมือการสื่อสารที่ทรงอิทธิพลในกระแสโลกทุนนิยม ผู้ใช้บริการอินเตอร์เน็ตได้สร้างตัวตนเสมือนจริงที่ตนอยากเห็นหรือต้องการให้คนอื่นเห็นผ่านโลกคู่ขนานกับโลกที่เราทุกคนกำลังใช้ชีวิตอย่างวุ่นวายอยู่นี้ ตัวอย่างที่เราทุกคนอาจจะมองข้ามไปไม่ได้คือ โลกของโซเชลมีเดีย (Social Media) ซึ่งกำลังถูกบริโภคอย่างหิวกระหายในสังคมของคนชนชั้นกลาง ชั้นเป็นคนหนึ่งที่เสพความบันเทิงผ่านโลกโซเชลมีเดียด้วยเห็นว่า โซเชลมีเดียเป็นตัวกลางการสื่อสารผ่านผู้คนที่ชั้นรู้จัก ในแวดวงที่ชั้นคุ้นเคย และเป็นกระบอกเสียงให้ชั้นได้พูดในสิ่งที่ชั้นคิด 24 ชั่วโมงในโลกที่บางครั้งเสียงของคนธรรมดาคนหนึ่งถูกทำให้เงียบ ชั้นเชื่อว่าคนจำนวนมากรู้จัก เฟชบุ๊ค (Faceb...

กะเทยไทย VS กุลสตรีแบบเมคอินไทยแลนด์

ปรากฏการณ์แปลกอย่างหนึ่งในสังคมไทย ที่กะเทยอย่างชั้นต้องทำความเข้าใจกับสังคมไทยซ้ำแล้วซ้ำเหล่านั้นคือ เรื่องศีลธรรมจรรยา และคุณค่าของความเป็นหญิงไทย ซึ่งฟังดูแล้วเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สังคมไทยเต็มไปด้วยศีลธรรมอันดีงาม และหญิงไทยที่ปฏิบัติตามศีลธรรมที่กำหนดขึ้นอย่างเคร่งครัด เพื่อจะได้เป็นหญิงไทยที่งามทั้งกายและใจดั่งแม่พลอยในเรื่องสี่แผ่นดิน หญิงใดกล้ายืนถลกผ้าถุงแล้วบอกว่า “ไม่” ย่อมถูกตราหน้าจากสังคมว่าเธอผู้นั้นเป็นหญิงชั่ว เสียชื่อตัวเองไม่พอ ยังสร้างความเสื่อมเสียให้กับครอบครัวที่ถูกมองว่าเลี้ยงบุตรสาวของตัวเองไม่ดี จนทำให้เสียชื่อเสียงถึงวงศ์ตระกูล สำหรับชั้นนั้น ผู้หญิงที่กล้าลุกขึ้นมาบอกว่า “ไม่” หรือ “ท้าทาย” อำนาจทางศีลธรรมของสังคมชายเป็นใหญ่ ที่มักจะกดทับความต้องการ จำกัดการแสดงออกอย่างเสรีทางกายและวาจาของผู้หญิง พวกเธอเหล่านั้นคือ “นักปฏิวัติ” เพราะสังคมไทยควรถูกตั้งคำถามว่าทำไมศีลธรรมจึงมุ่งเน้นเพื่อที่จะควบคุมผู้หญิงหรือความเป็นผู้หญิง และทำไมกฎระเบียบเหล่านั้นถึงต่างกันระหว่างชายหญิง ในศตวรรษที่ 21 ที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้ถูกพัฒนา ไปพร้อมๆกับการเรียกร้องสิทธ...

นักการเมืองเกย์ แกนนำหญิงในสงครามสีเสื้อ และ อำมาตยาธิปไตย

ฉันไม่ได้เป็นคนที่มีความรู้เรื่องการเมืองการปกครอง อีกทั้งยังไม่ค่อยได้สนใจกับข่าวการเมือง เพราะคิดแค่ว่า ไม่ว่าพรรคการเมืองใดจะเป็นรัฐบาล การเมืองไทยก็ยังคงเต็มไปด้วยปัญหา การแข่งขัน และคอรัปชั่นอย่างไม่จบสิ้น ดังนั้นสำหรับฉัน ข่าวสารที่เกี่ยวกับการเมืองจึงเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ และไม่น่าสนใจ อย่างไรก็ตามฉันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ข่าวเรื่องการเมืองเป็นข่าวดังในสื่อต่างๆ จนทำให้คนขี้เกียจที่จะรับรู้เรื่องการเมืองแบบฉัน และใครหลายคนที่ไม่เคยนึกหยิบหนังสือพิมพ์เพื่อมาอ่านข่าวการเมือง ได้รับรู้เรื่องราวทางการเมืองอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ โดยเฉพาะเรื่องการชุมนุมของประชาชนหลากเสื้อสี เรื่องราวของนักการเมืองจากพรรคน้อยใหญ่ และแนวคิดทางการเมืองที่หลากหลาย ฉันมักเป็นกังวลเสมอไม่ว่าใครจะใส่เสื้อสีใดออกมาพูดเรื่องประชาธิปไตย แต่กลับใช้ความเป็นตัวตนทางเพศที่ไม่ใช่หญิงชายมาพูดในแง่ลบ แฝงอคติทางเพศที่ตอกย้ำคนส่วนใหญ่ให้เชื่อว่า คนเป็นเกย์และกะเทย ไม่สามารถเป็นนักการเมืองเพื่อทำงานบริหารประเทศได้ ฉันไม่ใช่คนที่จะเข้าใจเรื่องประชาธิปไตยมากนัก แต่ก็พอเดาได้ว่าถ้าเราพูดเรื่องสิทธิเส...