ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

จตุจักรบ่ายวันเสาร์

ฉันนั่งอยู่ที่ร้านเล็กๆข้างถนนสายหลักบนตลาดจุตุจักร ที่ซึ่งมีผู้คนหลายสัญชาติเดินผ่านไปมาจนไม่รู้ว่าใครเป็นใครกันบ้าง ฉันได้ตั้งคำถาม เพื่อถามตัวเองว่าจะมีใครบ้างหรือไม่ ที่จะรู้ว่า “ฉันไม่ใช่ผู้หญิง” อันที่จริง ฉันคิดว่า คนไทยที่เดินผ่านไปมาแถวนี้ ที่ผ่านมาเจอฉันคงจะรู้ว่าฉันเป็น “กะเทย” ตัวจริงเสียงจริง ไม่เคยแอ๊บ แต่…คำถามของฉันที่เกิดขึ้นในใจนั้น ฉันอยากจะรู้แค่ว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติคนไหนที่รู้ตัวตนที่แท้จริงของฉัน ถึงแม้ว่าใครจะรู้ว่าฉันไม่ใคร ฉันก็ไม่ได้สนใจหรอก เพราะตลอดชีวิตของฉันที่ผ่านมา ฉันก็ต้องตกอยู่ภายใต้การตั้งคำถาม และข้อสงสัยมากมายเกี่ยวกับตัวตนของฉันจากผู้คนรอบข้าง 

“ทำไมเป็นผู้ชาย แล้วอยากจะมาเป็นผู้หญิง ล่ะ”

เสียงหนึ่งผ่านแว่บเข้ามาในโสตประสาทของฉัน พร้อมกับความคิดของฉันที่โต้กลับขึ้นมาทันใดว่า “แล้วทำไมจะต้องมาถามกันล่ะ ก็กูไม่รู้ว่าทำไมกูอยากจะเกิดมาเป็นผู้หญิง”

ถ้าฉันสามารถอธิบายได้ว่าทำไมคนหนึ่งคนถึงเลือกที่จะใช้วิถีชีวิตที่แตกต่างจากเพศกำเนิดของตนเอง ให้เหมือนกับที่วิทยาศาสตร์อธิบายการเกิดปรากฎการณ์ธรรมชาติได้แล้ว พวกฉันหลายคนก็คงไม่ถูกเรียกว่า “ผิดธรรมชาติ” หรอก หรือหากจะใช้แนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์การแพทย์มาอธิบายว่า การเป็นกะเทยเกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมชุดใดชุดหนึ่ง ที่ดันผ่าเหล่าทางพันธุกรรม และส่งผลให้คนคนหนึ่งเป็นกะเทยนั้น ก็คงไม่ได้ทำให้คนส่วนใหญ่ คิดว่าการเป็นกะเทยเป็นเรื่องที่ปกติ ไม่ผิดธรรมชาติ หากแต่ความเป็นจริงที่วิทยาศาสตร์บอกพวกเรานั้น เป็นสิ่งที่น่าเชื่อได้มากแค่ไหน เพราะซักวันอาจจะมีคนคิดค้นสิ่งที่เรียกว่าความจริงที่เปลี่ยนไปจากบรรทัดฐานเดิมที่เราเรียนรู้กัน และแพร่หลายไปสู่ความคิดของคนส่วนใหญ่ตามยุคสมัยนั้นๆ มากกว่าความจริงชุดเดิม 

“แล้วทำไม ฉันอยากเป็นผู้หญิงล่ะ”

เสียงเพลงของร้านเล็กแห่งนี้ ที่เปิดเพลงแรกเก้ และเพลงสากลยุค 60 – 80 พร้อมกับเครืองดื่มเย็นสดชื่นในวันที่อากาศร้อนแสนร้อน มันทำให้ฉันรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก อืม…แล้วทำไมฉันต้องมานั่งคิดกับสิ่งที่ฉันเป็นไปแล้วล่ะ ฉันจะเลิกคิดแล้วว่าทำไม เพราะว่าชีวิตคนเรานั้นแสนสั้น เกินไปที่จะเสแสร้งเพื่อจะเป็นคนอื่น ก็ฉันก็เป็นตัวฉันแบบนี้แหละ 



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

5 เหตุผลทำไมเราจึงต้องพูดเรื่องการเปลี่ยนคำนำหน้านามของหญิงและชายข้ามเพศ (ในประเทศไทย)

ทำไมเราจึงต้องมาพูดเรื่องการเปลี่ยนคำนำหน้านามของหญิงและชายข้ามเพศ: 1. เพราะเพศไม่ได้จำกัดแค่ชายและหญิง ประเทศไทยได้รับการยอมรับจากนานาชาติว่าเป็นประเทศที่ให้การยอมรับกับคนที่มีความหลากหลายทางเพศในเชิงสังคมวัฒนธรรม ถึงขั้นคนต่างชาติยกย่องให้เป็น "the paradise of LGBT" หรือ ''สวรรค์ของเกย์ ชายรักชาย กะเทย คนข้ามเพศ ทอมดี้ หญิงรักหญิง และคนรักสองเพศ" ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะเปลี่ยนผ่านจากการยอมรับเชิงสังคมวัฒนธรรมเป็นการยอมรับเชิงกฎหมายเพื่อสร้างความเท่าเทียมให้กับคนทุกเพศในสังคมไทย 2.การเปลี่ยนคำนำหน้านามของคนข้ามเพศในเอกสารราชการไม่ได้เป็น "สิทธิพิเศษ" น้อยครั้งมากที่บุคคลที่นิยามตัวเองว่าชายหรือหญิงจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ตนถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่อง "ตัวตนทางเพศ" ของตนเองจากเจ้าหน้าที่ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง (ในต่างประเทศ) และบุคคลทั่วไป เพราะตัวตนทางเพศไม่ได้ดูขัดแย้งกับคำนำหน้านามในบัตรประชาชน หนังสือเดินทาง และเอกสารสำคัญทางราชการ ในทางตรงกันข้าม กะเทย และคนข้ามเพศจะต้องตอบคำถามจากคนอีกจำนวนมากถึงความเป็นเพศ ตัวตนทา...

กะเทยเลส : "ชาย" "หญิง" หรือ "ใคร"

สังคมไทยเป็นสังคมรักต่างเพศนิยมแบบเห็นได้ชัดจากกรณีข่าวดังของกะเทยเลส ซึ่งเปิดตัวผ่านสื่อว่า "ฉันคือกะเทยที่ชอบผู้หญิง" ถ้าได้ติดตามอ่านข่าว และโพสตามหน้าเฟชบุ๊คในเพจต่างๆ จะทราบว่าโพสเรื่องกะเทยเลสจะเต็มไปด้วยความเห็นที่หลากหลายในแบบเห็นด้วย และเห็นต่าง สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือ ความเห็นแบบเห็นต่างที่แฝงไปด้วยความรุนแรง และการตัดสินที่แฝงไปด้วยอคติ แสดงให้เห็นว่า สังคมไทยและวัฒนธรรมไทยทำให้คนพร้อมที่จะตัดสินคนคนหนึ่งที่มีความต่างในเรื่องเพศวิถี ที่ต่างไปจากบรรทัดฐานของสังคมรักต่างเพศนิยม เพราะกะเทยชอบผู้หญิงถูกมองว่าผิด แปลก และต้องได้รับการลงโทษที่ไม่ใช้การลงโทษทางกายให้เจ็บปวด แต่เป็นการลงโทษที่แนบเนียนกว่า นั่นคือ การลงโทษด้วยการตัดสิน และเห็นว่าความต่างคือความแปลก และไม่เหมาะสม เมื่อกะเทยเลสจะชอบผู้หญิง และกลายเป็นพฤติกรรมที่คนในสังคมจับจ้อง และพยายามจัดการควบคุม เพราะหลายคนเห็นว่ากะเทยอยากเป็นผู้หญิง กะเทยจะเป็นปกติต้องชอบผู้ชายเท่านั้น กะเทยจะชอบผู้หญิงจึงเป็นเรื่องไม่ปกติ หลายคนคงลืมคิดไปว่าเพศวิถีเป็นสิทธิฯ ใครจะรักใครจึงเป็นสิทธิ และความสุขของคนคนนั้น ไม่น่าแปลกใจว...

Love Letter to My Mom and Dad

Dear Mom and Dad, Over these past few years,since I have left home to live abroad, I feel that I have grown significantly. I am not able to call where I am living “home” for where I am now is not  our home. Where I am now is not even our country, and I rarely feel safe when I’m far from my only real home, Thailand. In spite of this, I have still enjoyed every moment abroad and have never felt very lonely because I know that I will always have my loved ones, Je Yu, and Jeed in my thoughts. In being far from home, I have learned about how to love myself and how to stand on my own. While I have everything I could ever wish for at home, living abroad I have to wait tables for a living. Working for a living abroad has made me realize that the love from the both of you cannot be bought with any amount of money. Your love has no cost and it will always remain with me throughout the rest of my life. I would like to honor the strongest power that you have given to me. You have ...