ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

หมวกของฉัน ของเธอ ของเรา และไพรด์

            เมื่อฉันกลับถึงบ้านจากการเดินทางไปอยู่ต่างประเทศมามากกว่า 10 ปี ฉันกลับมาสวมหมวกของความเป็นลูกสาว ที่มีตัวตนทางเพศเป็นกะเทยอีกครั้ง หมวกใบนี้มันถูกทับซ้อนไว้กับหมวกใบอื่นมานานพอกับชีวิตวัยผู้ใหญ่ที่ฉันได้ออกไปใช้ชีวิตของตัวเอง และตัดสินใจกลับมาอยู่กับแม่อีกครั้งเมื่อฉันอายุ 40 ปี  และแม่ของฉันอายุ 76 ปี ... มองย้อนกลับไป กะเทยคนนี้ออกจากบ้านภายหลังเรียนจบมัธยมปลาย ได้สวมหมวกทางสังคมจากอัตลักษณ์ที่หลากหลายทับซ้อนไปมา โดยที่หมวกหลายใบนั้นมีคนหยิบยื่นให้ฉัน และมีอีกมากที่ฉันหยิบมาสวมเอง   

            ชีวิตนักกิจกรรม (Activist) ที่ทำงานด้านสิทธิของกะเทยและคนข้ามเพศ ก็คือหมวกอีกใบที่ฉันสวมใส่ทุกครั้งในโลกของมนุษย์วัยทำงาน และหมวกใบนี้เองที่ทำให้เดือนมิถุนายนเป็นเดือนสุดพิเศษสำหรับฉัน เพราะเดือนมิถุนายนคือเดือนแห่งความภาคภูมิใจ หรือ “ไพรด์” สำหรับคนที่มีความหลากหลายทางเพศ ... แม้ว่าไพรด์ในปีนี้จะดูเงียบเหงากว่าทุกปีเพราะพิษการระบาดของโรคโควิด 19 ทั่วโลก แต่การได้เห็นนิวยอร์คไพรด์พาเหรดที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เมื่อวานนี้ คือความหวัง ที่ว่า โลกกำลังทำงานเพื่อเยียวยาสิ่งมีชีวิตที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาด แม้ว่าฉันยังไม่เห็นแสงไฟที่ปลายอุโมงค์ในประเทศบ้านเกิดของตัวเองเลยก็ตาม  

            ไพรด์สำหรับฉัน คือ การตอกย้ำความสำคัญของหมวกที่ฉันใส่ในฐานะนักกิจกรรมที่ทำงานเรื่องสิทธิ และการใช้เวลาเพื่อสำรวจตัวเอง โดยเฉพาะการกลับมาถามตัวเองว่าในปีที่ผ่านมาฉันภูมิใจกับเรื่องอะไรบ้าง ฟังเรื่องราวความสุขและทุกข์ของคนรอบข้าง และเยียวยาตัวเองจากความทุกข์ของฉันในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ... ไพรด์ของฉันมันมากกว่าความภูมิใจในตัวเอง เพราะมันเข้าไปเกี่ยวข้องกับคนอีกหลายคนที่หมวกที่ฉันใส่นำพาพวกเขามาเจอกับฉัน หรือนี้อาจจะเป็นเพราะหมวกใบใดใบหนึ่งที่พวกเขาใส่ทำให้พวกเรามาเจอกัน   

            หมวก” ในความหมายที่ฉันให้กับมัน หรือคำว่า “หัวโขน” ในบริบทแบบไทย คือ อัตลักษณ์ทับซ้อนของคนแต่ล่ะคน เช่น ฉันไม่ได้เป็นกะเทยเพียงอย่างเดียว แต่ฉันยังเป็นลูก เป็นคนชนชั้นกลาง ที่มีรายได้ เป็นคนไทยในภาคเหนือ เป็นผู้ชาย (ตามกฎหมายไทยที่มีความดักดาน) เป็นกะเทยที่รักกับผู้ชาย และยังมีอัตลักษณ์ที่หลากหลายทับซ้อนไปมา และเมื่อฉันต้องอยู่ในพื้นที่ทางสังคมที่มีความหลากหลาย มันทำให้ฉันต้องเลือกหมวกที่ต่างกันเพื่อสวมใส่ หรือโดนบังคับให้ใส่หมวกบางใบที่ไม่ได้เลือก             

            การพูดถึง “การทับซ้อนทางอัตลักษณ์” (Intersectionality) เป็นเรื่องสำคัญในการทำงานของฉัน เพราะการเข้าใจในอัตลักษณ์ที่แตกต่างหลากหลายของมนุษย์ ทำให้นักกิจกรรมทางสังคมเข้าใจว่าอัตลักษณ์บางอย่างของคนคนหนึ่ง นำมาซึ่งการเข้าถึงแหล่งอำนาจทางสังคม หรือในทางกลับกัน คือ การจำกัดในการเข้าถึงทรัพยากรทางสังคมของคนคนนั้น  เพราะเราทุกคนอยู่ในสังคมที่มีความเป็นพลวัต และมีระบบที่มีความซับซ้อนของการเข้าถึงสิทธิพิเศษ และการถูกกดขี่ และบ่อยครั้งระบบนี้ถูกขับเคลื่อนโดยคนเพียงบางกลุ่มที่เป็นเจ้าของอำนาจ หรือทรัพยากรทางสังคม และไม่เคยถูกตั้งคำถามจากคนที่ถูกกดขี่ หรือมีอำนาจน้อยกว่า เพราะระบบชนชั้นนี้เป็นระบบที่ไม่ได้ถูกทำให้เห็นด้วยตาเปล่า 

            ฉะนั้น อัตลักษณ์ของความเป็น “กะเทย” ของฉันมันนำมาซึ่งการถูกผลักให้ฉันเป็นคนชายขอบ หรือการถูกกดขี่บางประการ เช่น การไม่ได้ถูกรองรับทางกฎหมายในเพศที่ฉันเลือก การไม่สามารถแต่งงานได้กับคนที่ฉันรัก และการเติบโตในสังคมที่ไม่ได้มีข้อมูลใดเลยที่ฉันรู้สึกว่าปลอดภัย และเข้ากับเพศของตัวเอง โดยเฉพาะข้อมูลด้านสุขภาพ แต่อย่างไรก็ตามฉันยังมีหมวกบางใบที่ฉันสวมทำให้ตัวเองสามารถเปิดพื้นที่บางพื้นที่ในการพูดถึงประสบการณ์ของตัวเอง และการทำงานเพื่อเปิดพื้นที่ให้คนข้ามเพศคนอื่นได้แบ่งปันเรื่องราวของพวกเขา   

            สังคมไทยมักจะทำให้กะเทย คนข้ามเพศ และคนที่มีความหลากหลายทางเพศเงียบ หรือไม่มีใครสนใจฟัง และตีค่าประสบการณ์ของคนหลากหลายเพศในทางลบ หรือไม่สำคัญ แม้ว่าจะมีการเปิดพื้นที่บางพื้นที่ให้พวกเราชาว LGBTIQN+ ได้แสดงความเป็นตัวเอง และจำกัดขอบเขตของพื้นที่ทางสังคมไว้เพียงบางพื้นที่ที่จะยอมรับ หรือเปิดโอกาสให้คนที่มีความหลากหลายทางเพศได้ใช้พูด และเรียกร้องสิทธิของตัวเอง โดยการพูดถึงเรื่องสิทธิของ LGBTIQN+ ในพื้นที่อื่นที่ไม่ได้อยู่ในกรอบที่สังคมได้กำหนดไว้ มักจะถูกมองว่า เป็นการ “เรียกร้องในสิทธิพิเศษ” ทั้งที่สิทธินั้นคือ “สิทธิ์ของความเป็นมนุษย์”  ที่เท่าเทียมกับมนุษย์คนอื่น เช่น การได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย การได้รับสิทธิ์ในการจดทะเบียนสมรสกับคู่รัก และการได้รับรับรองทางกฎหมายตามเพศสภาพของคนข้ามเพศ    

            ไพรด์” จะไม่เกิดขึ้นกับใครเลย ถ้าเรายังมองการถูกกดขี่ และความไม่เท่าเทียมว่าเป็นปัญหาของ “พวกเขา” และ “พวกเรา” เงียบ เพราะเรารู้สึกปลอดภัย และสบายใจกับหมวกใบใดใบหนึ่งที่พวกเราสวม และเราจะถอดหมวกนั้นไปสวมหมวกอีกใบก็ได้ โดยที่ไม่มีใครมาบังคับให้ใส่หมวกที่เราไม่ต้องการ เพราะเราสามารถต่อรองได้ และสามารถปฏิเสธได้ เช่นเดียวกับสิทธิความหลากหลากทางเพศ ถ้าเรายังคิดว่าเกย์ กะเทย ทอม ดี้ ไบเซ็กซวล และคนที่มีหลากหลายเพศอื่นๆ มีปัญหาเดียวกัน ต้องการสิทธิเรื่องเดียวกัน เป็นกลุ่มเดียวกัน ใครก็ตามที่คิดแบบนี้ กำลังสร้าง “ปัญหา” และรักษาระบบอภิสิทธิ์ทางสังคมที่ฝังรากลึกในวัฒนธรรมไทย จนทำให้เสียงของคนที่พยายามส่งเสริมความเท่าเทียมตายจากไป และถูกลืมในที่สุด  

            ถ้าวันนี้พวกคุณสวม “หมวก” ที่ทำให้พวกคุณได้รับโอกาสในการเข้าถึงอภิสิทธิ์ทางสังคม และต้นทุนบางอย่าง อย่างน้อยที่สุดที่คุณจะทำได้ คือ การเปิดพื้นที่ให้คนที่ถูกกดขี่สามารถบอกเล่าชุดประสบการณ์บางอย่างที่พวกเราหลายคนไม่เคยได้ฟัง และให้คนเหล่านั้นบอกกับเราว่าอะไรที่เขาต้องการ พร้อมกับเชื่อว่า มนุษย์ทุกคนมีความหลากหลาย และในความหลากหลายของมนุษย์นั้นยังมีคนจำนวนมากที่มีอัตลักษณ์ทับซ้อน ที่ทำให้พวกเขาถูกกดขี่ เช่น คนที่มีความหลากหลายทางเพศ คนที่มีภาวะพิการทางร่างกาย แรงงานต่างชาติ ชาติพันธุ์ พนักงานบริการทางเพศ เด็ก วัยรุ่น และผู้สูงอายุ คนในชนชั้นแรงงาน คนชนบท และกลุ่มคนทางสังคมกลุ่มอื่นที่เขาเหล่านั้นมีชุดประสบการณ์การการถูกตีตรา และเลือกปฏิบัติที่ต่างกัน       

            ในกระแสของงานไพรด์ก่อนที่จะหมดเดือนมิถุนายน สิ่งที่ฉันอยากเห็นที่สุดคือภาพของความสุขที่เกิดจากการที่เราทุกคนเคารพในความแตกต่างหลากหลาย และไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง และในภาพฝันของฉันความเข้าใจในอัตลักษณ์ที่แตกต่างของมนุษย์ คือรากฐานสำคัญในการทำงานเพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมและความยุติธรรมในสังคม และคือแนวทางในการทำงานเพื่อที่จะแสวงหาทางรอดจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 ในประเทศไทย   

        
Hashtags: #Intersectionality #IntersectionalityMatters #Pride #LGBTIQN #SharewithPride #HappyPride #SharePrivilege #Powersharing #StopOppression #PowerWithin #ความหลากหลายทางเพศ #ไพรด์ #อัตลักษณ์ทับซ้อน #อัตลักษณ์ทับซ้อนสำคัญ #ช่วยแชร์ #ข้ามเพศมีสุข  



    ภาพของฉันในสมัยที่เป็นอาสาสมัครขบวนพาเหรด Capital Pride
ที่กรุงวอซิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกา







ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ทาส ผิวขาว และสังคมไทย

ฉันนึกถึงภาพยนตร์ไทยเรื่องพระนเรศวร หนังจอเงินที่คนไทยหลายคนได้ดูไม่ว่าจะได้ดูเพียงภาคใดภาคหนึ่งในหลายๆภาค หรือตอนใดตอนหนึ่งโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม หลายคนคงตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือของข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ไทยที่ภาพยนตร์พยายามนำเสนอ อย่างไรก็แล้วแต่ภาพยนตร์เรื่องนี้หยิบยกรายละเอียดเพียงบางมุมที่ผู้กำกับและผู้เขียนบทต้องการจะนำมาสื่อสารกับผู้ชมเท่านั้น ถึงกระนั้นก็ตามผู้ชมก็พอจะได้เรียนรู้ประวิติศาสตร์ไทยจากภาพยนตร์เรื่องพระนเรศวรไม่มากก็น้อย สิ่งหนึ่งที่ฉันได้เรียนรู้ในหนังอย่างเรื่องพระนเรศวรคือเรื่องสีผิวคนไทยที่ไม่ขาวแบบฝรั่งหรือไม่ดำแบบชาวแอฟริกัน คนไทยตั้งแต่สมัยโบราณไม่ได้เป็นคนขาวแต่อย่างใด ... ภาพยนตร์ที่ถ่ายทอดประวัติศาสตร์ไทยหลายเรื่องก็ไม่ได้ใช้นักแสดงที่มีผิวสีขาวผุดผ่อง นั้นอาจจะเป็นเพราะนักแสดงผิวขาวจะทำให้หนังประวิติศาสตร์ไทยมีความบิดเบือนในเรื่องของรายละเอียดทางประวัติศาสตร์ หรือจะเป็นเพราะเหตุผลอื่น ซึ่งฉันขอเพียงตั้งไว้เป็นข้อสังเกตเท่านั้น ตอนเป็นเด็ก ฉันเรียนวิชาสังคมศึกษาที่อาจารย์มักสอนฉันว่า ประเทศไทยมีชาวนาเป็นกระดูกสันหลังของชาติ นั่นคือ ประเทศไทยม

พลังเยาวชนกะเทย

คิดย้อนกลับไปสมัยที่วันเด็กเป็นหนึ่งในวันสำคัญที่สุดของชีวิต วันเด็กเป็นวันที่เด็กหลายคนจะต้องไปธนาคารออมสินเพื่อรับของขวัญเป็นกระปุกออมสินราคาถูกๆ แต่ดีใจราวกับถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง วันเด็กที่เด็กบางคนจะต้องไปแสดงความสามารถต่างๆในงานวันเด็กของจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นการประกวดร้องเพลง แข่งวาดภาพ แข่งคัดลายมือ แข่งอ่านออกเสียงบทร้อยแก้วหรือร้อยกรอง ตามรายการแข่งขันสาระพัดนับไม่ถ้วนที่จัดหามาเพื่อให้เด็กเก่งมาแสดงความสามารถ อีกเรื่องหนึ่งที่พอจะจำได้คือ วันเด็กเป็นวันที่เราต้องจำคำขวัญที่ถูกแต่งขึ้นมาโดยนายกรัฐมนตรีเพื่อใช้ในวันเด็กประจำปีของแต่ละปี และคำขวัญเหล่านี้ก็ดูเหมือนจะคล้ายกันทุกปี คือ เป็นเด็กต้องเป็นเด็กดี มีวินัย ใฝ่การศึกษา หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง ประหนึ่งว่าชีวิตของเด็กคนหนึ่งจะผูกผันกับเรื่องราวเพียงไม่กี่เรื่องเท่านั้น ดังนั้นความเป็นเด็กในมายาคติแบบไทย จะหลงลืมเด็กจำนวนหนึ่งที่มีวิถีชีวิตที่ไม่สอดคล้องกับความเชื่อว่าเด็กไทยต้องอยู่ในพื้นที่โรงเรียนและบ้านเท่านั้น เด็กไทยจะต้องกตัญญูเชื่อฟังพ่อแม่ และ เด็กไทยทั้ง "เด็กชาย" และ "เด็กหญิง" จะเป็นอนาคตข

Why?

Why?  A: What make you a transgender woman?  B: Well, I don't know.  A: If being trans is difficult, why don't you try to change?  B: I can't change. This is me!  A: Are you happy of being a trans woman.  B: Well, all of us suffer one way or another, but we can be happy. It is life, you know?  B: What make you a man? A: I was born a boy so I am a man. B: Do you really believe that? A: Yes, I do. Everyone else also think that I am a man and they want to see me a masculine man. B: Ok, you are a man or at least you believe you are a man.  A: Why did you ask me this question? It is weird! B: It isn't. For me, the strange thing is that your world has 2 gender, but gender is more diverse in my world. Sadly, you are whoever other people tell you to be. I am who I am because I know who I wanna be. I am so happy!