ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ทาส ผิวขาว และสังคมไทย

ฉันนึกถึงภาพยนตร์ไทยเรื่องพระนเรศวร หนังจอเงินที่คนไทยหลายคนได้ดูไม่ว่าจะได้ดูเพียงภาคใดภาคหนึ่งในหลายๆภาค หรือตอนใดตอนหนึ่งโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม หลายคนคงตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือของข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ไทยที่ภาพยนตร์พยายามนำเสนอ อย่างไรก็แล้วแต่ภาพยนตร์เรื่องนี้หยิบยกรายละเอียดเพียงบางมุมที่ผู้กำกับและผู้เขียนบทต้องการจะนำมาสื่อสารกับผู้ชมเท่านั้น ถึงกระนั้นก็ตามผู้ชมก็พอจะได้เรียนรู้ประวิติศาสตร์ไทยจากภาพยนตร์เรื่องพระนเรศวรไม่มากก็น้อย สิ่งหนึ่งที่ฉันได้เรียนรู้ในหนังอย่างเรื่องพระนเรศวรคือเรื่องสีผิวคนไทยที่ไม่ขาวแบบฝรั่งหรือไม่ดำแบบชาวแอฟริกัน คนไทยตั้งแต่สมัยโบราณไม่ได้เป็นคนขาวแต่อย่างใด ... ภาพยนตร์ที่ถ่ายทอดประวัติศาสตร์ไทยหลายเรื่องก็ไม่ได้ใช้นักแสดงที่มีผิวสีขาวผุดผ่อง นั้นอาจจะเป็นเพราะนักแสดงผิวขาวจะทำให้หนังประวิติศาสตร์ไทยมีความบิดเบือนในเรื่องของรายละเอียดทางประวัติศาสตร์ หรือจะเป็นเพราะเหตุผลอื่น ซึ่งฉันขอเพียงตั้งไว้เป็นข้อสังเกตเท่านั้น

ตอนเป็นเด็ก ฉันเรียนวิชาสังคมศึกษาที่อาจารย์มักสอนฉันว่า ประเทศไทยมีชาวนาเป็นกระดูกสันหลังของชาติ นั่นคือ ประเทศไทยมีประชากรที่ประกอบอาชีพกสิกรรมจำนวนมาก โดยเฉพาะชาวนาที่ปลูกข้าวเป็นอาหารหลักของคนไทย อีกทั้งข้าวหอมมะลิก็เป็นสินค้าส่งออกของไทยที่โด่งดังไปทั่วโลก คนทำนาจะมีผิวขาวไปไม่ได้ เนื่องจากการทำนาเป็นอาชีพที่ต้องทำกลางแจ้ง ทนแดดทนฝน แม้ว่าปัจจุบันจะมีเทคโนโลยีทางกสิกรรมที่มาช่วยทุ่นแรงชาวนาอยู่บ้าง ชาวนาและคนทำอาชีพการเกษตรก็ต้องทำงานแบบหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน การจะมีผิวขาวผ่องใสนั้นก็ยิ่งเป็นไปได้ยากสำหรับประชากรส่วนใหญ่ของประเทศไทยที่เป็นชาวนาชาวไร่และชาวสวน

เมื่อผิวขาวไม่ได้เป็นสิ่งคุ้นเคยมาตั้งแต่ดั้งเดิมสำหรับสังคมไทย การทำให้ผิวขาวเป็นเรื่องปกติของคนไทย และให้คุณค่าผิวขาวว่าเป็นสีผิวที่คนส่วนใหญ่ต้องการ จึงเป็นเรื่องที่บิดเบือนความจริง ฉันเป็นคนหนึ่งที่เคยอยากมีผิวขาว เพราะการมีผิวขาวเป็นปัจจัยหนึ่งของความสวยแบบอุดมคติของคนสมัยใหม่ อีกทั้งผิวขาวเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งที่มักจะทำให้คนอื่นๆคิดว่าฉันเป็นพนักงานออฟฟิชที่ไม่ต้องตากตรำท้าแดดท้าฝนเช่นเดียวกับคนที่ทำงานด้านการเกษตร หรือกรรมกร ผิวขาวกำลังให้ความหมายในเชิงบวกกับคนไทยว่า คนมีผิวขาวเป็นคนมีการศึกษา เป็นคนชนชั้นกลาง เป็นคนเมือง เป็นคนไทยเชื้อสายจีน เป็นคนรักสุขภาพ ตรงตามมาตราฐานคุณค่าทางสังคมไทยที่อยู่ในยุคเปลี่ยนผ่านจากสังคมกสิกรรมมาเป็นสังคมอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ประกอบกับสังคมทุนนิยมแบบไทยได้เอื้อให้ตลาดผลิตภัณฑ์และการบริการเพื่อผิวขาวเติบโตขึ้น คนในสังคมไทยได้ทำความคุ้นเคยกับเครื่องสำอางค์นานาชนิดที่มีคุณสมบัติในการกันรังสียูวี และเพิ่มความขาวใสของผิวหน้า ผิวตัว และผิวตามจุดอื่นๆของร่างกาย วิตามินที่มีคุณสมบัติหลากหลายจนนึกว่าเป็นยาวิเศษ และการทำศัลยกรรมเสริมความงามที่ทำให้ขาวแบบข้ามคืน สินค้าและบริการเหล่านี้ก็มีให้เลือกสรรตามแต่กำลังทรัพย์ของผู้บริโภคที่ใครจะซื้อสินค้าตัวไหน หรือบริการอะไร ก็มีให้ผู้บริโภคได้เลือกสรรแบบนับไม่ถ้วน ไม่เชื่อลองนับโฆษณาที่เกี่ยวกับสินค้าเพื่อผิวขาวบนหน้าจอทีวี หรือไปเดินเล่นในแผนกเครื่องสำอางค์ของห้างสรรพสินค้าก็จะรู้ว่าฉันไม่ได้นั่งอุปทานขึ้นมาเองแต่อย่างใด

ผู้บริโภคซักกี่คนที่จะรู้ว่าตลาดสินค้าเหล่านี้ทุ่มเงินจำนวนมหาศาลเพื่อรักษาความคิดความเชื่อเรื่องการมีผิวขาวของคนสมัยใหม่ และเปลี่ยนความเชื่อเหล่านั้นเป็นความต้องการในการบริโภคสินค้าและบริการเพื่อผิวขาวในกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังทรัพย์แตกต่างกัน ความเหมือนกันเพียงเรื่องเดียวคือความต้องการมีผิวขาวตรงตามความสวยอุดมคติของสังคมทุนนิยม จะมีผู้บริโภคซักกี่คนที่จะรู้ว่าเราจำเป็นด้วยหรือที่จะต้องใช้ผลิตภัณฑ์เพิ่มผิวขาวหรือบำรุงผิวขาว เช่น ครีมทาผิวที่แข่งกันเรื่องค่าเอชพีเอฟ (SPF) สูงๆ ครีมอาบน้ำที่มีสรรพคุณในการเพิ่มความขาวใสของผิว (ในขณะที่การอาบน้ำใช้เวลาเพียงไม่นาน) หรือการกินวิตามินต่างๆที่ก็ไม่รู้ว่าจำเป็นมากน้อยแค่ไหน และจะมีผลกระทบกับสุขภาพอย่างไรบ้าง

จะมีใครรู้หรือไม่ว่า การสร้างคุณค่าและความหมายเรื่องการมีผิวขาว ได้เปลี่ยนคุณค่าแบบนามธรรมนี้เป็นมูลค่าหลักล้านในตลาดแบบทุนนิยมของบริษัทและนักการตลาดน้อยใหญ่ การมีผิวขาวได้กลายเป็นเรื่องใหญ่ในวัฒนธรรมไทยที่มีแรงผลักจากสังคมทุนนิยม จนทำให้ข้อเท็จจริงบางประการไม่ได้ถูกพูดถึง ร้ายยิ่งไปกว่านั้นการตัดสินกันทางสีผิวกลายเป็นเรื่องที่ไม่ล้อเล่นอีกต่อไปในสังคมไทย สังคมที่ครั้งหนึ่งการมีผิวขาวเป็นเรื่องที่ไม่มีความจำเป็น การเป็นคนผิวขาวในสังคมไทยสมัยใหม่จึงมาพร้อมกับสัญลักษณ์บางประการที่เอื้อประโยชน์ต่อคนที่มีผิวขาว ในทางตรงกันข้ามคนที่มีสีผิวเข้มอาจจะเผชิญแรงกดดันบางประการ โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีสีผิวเข้มถูกทำให้เป็นรองอย่างเลี่ยงไม่ได้ในวงการความสวยงามของประเทศในทวีปเอเซีย อีกทั้งการมีผิวสีเข้มถูกให้สัญลักษณ์ที่ด้อยกว่าในเรื่องชนชั้นทางสังคม อาชีพการงาน เชื้อชาติ และสัญชาติ ร้ายไปกว่านั้น คือ การเหยียดสีผิวเป็นเรื่องที่เห็นชัดมากขึ้นในสังคมไทยปัจจุบัน  

เรื่อง "การมีผิวขาว" จึงเป็นเรื่องใหญ่ของคนทุกเพศในสังคมไทย และการที่สินค้าตัวหนึ่งจะออกมาสื่อสารว่า "แค่มีผิวขาว ก็ทำให้คุณชนะ" จึงเป็นปัญหาใหญ่ที่สังคมไทยต้องทำความเข้าใจกับกระบวนการคิดของคนคิดงานโฆษณาชิ้นนี้ ซึ่งจะไปเอาโทษคนคิดโฆษณาชิ้นนี้ก็คงจะดูไม่เป็นธรรมนัก แม้ว่าคนคิดโฆษณาชิ้นนี้จะเพิกเฉยต่อเรื่องการแบ่งแยกสีผิวและเชื้อชาติ ที่ประเด็นดังกล่าวเป็นประเด็นที่ประเทศทางตะวันตกใช้เวลาในการต่อสู้มาเป็นเวลานาน อีกทั้งประเด็นเรื่องการเหยียดสีผิวยังคงเป็นประเด็นที่มีความอ่อนไหวในหลายประเทศทั่วโลก

ดังนั้น การสื่อสารที่ตัดสินถูกหรือผิด ชนะหรือแพ้ ดำหรือขาว จึงเป็นสร้างความความไม่เป็นธรรมให้เกิดกับคนที่อยู่ฝ่ายตรงข้าม งานโฆษณาชิ้นนี้จึงไม่เพียงแต่สร้างความอับอายให้กับบริษัทเจ้าของผลิตภัณฑ์และคนคิดโฆษณา เพราะเพิกเฉยในประเด็นเรื่องการแบ่งแยกสีผิว หากแต่แนวคิดของโฆษณานี้ยังเผยเนื้อแท้ทางวัฒนธรรมไทยที่ยังกดขี่ และแบ่งแยกคนที่ถูกทำให้เป็นรองในสังคมไทย และคนที่เป็นรองเหล่านี้ก็คือคนที่ถูกให้คุณค่าว่าด้อยกว่าด้วยเรื่องสีผิว เพศ ชนชั้น การศึกษา เชื้อชาติและสัญชาติ

ด้วยข้อความที่ว่า "แค่มีผิวขาว ก็ทำให้คุณชนะ" จึงก่อให้เกิดแรงกดดันกับคนที่มีผิวเข้ม เพราะพวกเขาเหล่านั้นต้องตั้งคำถามกับความปกติของพวกเขาเองที่ถูกงานโฆษณานี้ยัดเหยียดให้เป็นความผิดปกติ หรือความด้อยกว่า ประเทศไทยจึงได้เป็นที่รู้จักอีกครั้งของนานาชาติ เพราะงานโฆษณาที่ละเลยประเด็นสำคัญที่ทั่วโลกพยายามจะรณรงค์ เพื่อลดช่องว่างทางสังคมให้กับประชาชนที่มีสีผิว เพศ ชนชั้น เชื้อชาติ และสัญชาติที่ต่างกัน สิ่งที่สังคมไทยพอจะทำได้เพื่อให้คนไทยไม่ตกหลุมพลางทางการตลาดในสังคมทุนนิยม คือ การส่งเสริมความเท่าเทียมของประชาชนไทยทุกคนในระดับปัจเจก และระดับสถาบันทางสังคม ที่หน่วยงานภาครัฐและเอกชนควรสร้างให้เป็นมาตราฐานและคุณค่าร่วมที่คนทุกคนในสังคมพึงระลึกและปฏิบัติ ก่อนที่สังคมไทยจะสู่ยุค "บ้า" ผิวขาวแบบไม่ลืมหูลืมตา

ฉันไม่อยากเห็นสังคมไทยเป็น "ผู้แพ้" ในสายตาชาวโลกเพียงเพราะกระบวนการคิดที่พร้อมตัดสิน และกดทับคนที่เห็นต่าง คนที่แตกต่าง และคนที่ถูกทำให้เป็นรองในสังคม ที่สำคัญ ฉันไม่อยากเห็นคนในสังคมไทยสมัยใหม่ตกเป็น "ทาส" ของการตลาดเพื่อผิวขาว ในขณะที่วิชาประวัติศาสตร์ไทยสอนให้เรารู้ว่า ประเทศไทยได้มีการเลิกทาสมาเป็นเวลามากกว่าร้อยปีแล้วก็ตาม

อาจถึงเวลาแล้วที่คนไทยรุ่นใหม่ต้องคิดเพื่อหาทางออกและก้าวพ้นจากการเป็นทาสของคุณค่านามธรรมที่ถูกสร้างเพื่อกำไรทางการตลาด และร่วมกันส่งเสริมเรื่องความเท่าเทียมกันทางสิทธิฯของคนที่มีความแตกต่างหลากหลายในสังคมไทย



   

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

5 เหตุผลทำไมเราจึงต้องพูดเรื่องการเปลี่ยนคำนำหน้านามของหญิงและชายข้ามเพศ (ในประเทศไทย)

ทำไมเราจึงต้องมาพูดเรื่องการเปลี่ยนคำนำหน้านามของหญิงและชายข้ามเพศ: 1. เพราะเพศไม่ได้จำกัดแค่ชายและหญิง ประเทศไทยได้รับการยอมรับจากนานาชาติว่าเป็นประเทศที่ให้การยอมรับกับคนที่มีความหลากหลายทางเพศในเชิงสังคมวัฒนธรรม ถึงขั้นคนต่างชาติยกย่องให้เป็น "the paradise of LGBT" หรือ ''สวรรค์ของเกย์ ชายรักชาย กะเทย คนข้ามเพศ ทอมดี้ หญิงรักหญิง และคนรักสองเพศ" ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะเปลี่ยนผ่านจากการยอมรับเชิงสังคมวัฒนธรรมเป็นการยอมรับเชิงกฎหมายเพื่อสร้างความเท่าเทียมให้กับคนทุกเพศในสังคมไทย 2.การเปลี่ยนคำนำหน้านามของคนข้ามเพศในเอกสารราชการไม่ได้เป็น "สิทธิพิเศษ" น้อยครั้งมากที่บุคคลที่นิยามตัวเองว่าชายหรือหญิงจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ตนถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่อง "ตัวตนทางเพศ" ของตนเองจากเจ้าหน้าที่ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง (ในต่างประเทศ) และบุคคลทั่วไป เพราะตัวตนทางเพศไม่ได้ดูขัดแย้งกับคำนำหน้านามในบัตรประชาชน หนังสือเดินทาง และเอกสารสำคัญทางราชการ ในทางตรงกันข้าม กะเทย และคนข้ามเพศจะต้องตอบคำถามจากคนอีกจำนวนมากถึงความเป็นเพศ ตัวตนทา...

Love Letter to My Mom and Dad

Dear Mom and Dad, Over these past few years,since I have left home to live abroad, I feel that I have grown significantly. I am not able to call where I am living “home” for where I am now is not  our home. Where I am now is not even our country, and I rarely feel safe when I’m far from my only real home, Thailand. In spite of this, I have still enjoyed every moment abroad and have never felt very lonely because I know that I will always have my loved ones, Je Yu, and Jeed in my thoughts. In being far from home, I have learned about how to love myself and how to stand on my own. While I have everything I could ever wish for at home, living abroad I have to wait tables for a living. Working for a living abroad has made me realize that the love from the both of you cannot be bought with any amount of money. Your love has no cost and it will always remain with me throughout the rest of my life. I would like to honor the strongest power that you have given to me. You have ...

Why?

Why?  A: What make you a transgender woman?  B: Well, I don't know.  A: If being trans is difficult, why don't you try to change?  B: I can't change. This is me!  A: Are you happy of being a trans woman.  B: Well, all of us suffer one way or another, but we can be happy. It is life, you know?  B: What make you a man? A: I was born a boy so I am a man. B: Do you really believe that? A: Yes, I do. Everyone else also think that I am a man and they want to see me a masculine man. B: Ok, you are a man or at least you believe you are a man.  A: Why did you ask me this question? It is weird! B: It isn't. For me, the strange thing is that your world has 2 gender, but gender is more diverse in my world. Sadly, you are whoever other people tell you to be. I am who I am because I know who I wanna be. I am so happy!