ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

กะเทย คนขายบริการ กับ นายตำรวจ


ฉันคิดว่าพัทยาเป็นเมืองพิเศษ เป็นเมืองที่มีความหลากหลายในหลายระดับ ตั้งแต่ความหลากหลายในเรื่องวัฒนธรรม เพราะนอกจากจะมีคนไทยจำนวนมากที่มาจากภาคเหนืออีสานกลางใต้ ทั้งเป็นคนเกิดในพื้นที่ ย้ายเข้ามาอาศัย หรือเป็นนักท่องเที่ยวทั้งขาจรและขาประจำที่แวะเวียนมาพัทยาไม่ขาดสาย นอกจากคนไทยแล้ว คนที่มาอาศัยอยู่ในเมืองพัทยาก็มาจากหลากหลายทวีปทั่วโลก ทั้งทวีปเอเซีย ยุโรป อเมริกา ตะวันออกกลาง และอื่นๆ อีกทั้งพัทยามีความหลากหลายของกลุ่มประชากร คือ มีคนทุกวัย ทุกเพศ ศาสนา และคนที่อาศัยในพัทยาก็มีความหลากหลายเรื่องเศรษฐกิจฐานะ คือ มีทั้งคนรวย คนจน คนชนชั้นกลาง เป็นคนจากทุกชนชั้นทางสังคม ทั้งยังประกอบอาชีพที่แตกต่างกัน เช่น แม่ค้า ครูอาจารย์ พนักงานรัฐและรัฐวิสาหะกิจ ข้าราชการ เจ้าของกิจการ คนทำงานบริการต่างๆ และกลุ่มคนที่มีความสำคัญไม่น้อยหน้ากว่าคนกลุ่มอื่นๆในเมืองพิเศษแห่งนี้ คือ พนักงานบริการ หรือ คนขายบริการ ที่มีจำนวนมาก บางคนลงหลักปรักฐานเป็นเวลาหลายปีในเมืองพัทยาแห่งนี้

เนื่องจากพัทยาเป็นเมืองที่รวมคนหลายกลุ่ม อยู่กันเป็นชุมชน ตามตรอกซอกซอยในเมืองพัทยา การจะแยกพื้นที่มืดและพื้นที่สว่างจึงเป็นเรื่องคลุมเครือสำหรับเมืองนี้ เพราะ คนที่มาอาศัยในพัทยาต่างพึ่งพาอาศัยกันทางสังคมและเศรษฐกิจ ดังนั้นเราจะเห็นซอยเล็กๆซอยหนึ่งจะมีทั้งร้านขายยา ร้านอาหาร แม่ค้าหาบเร่ รถเข็นขายอาหาร ผับบาร์ ร้านเหล้า อพาร์ทเม้นท์ โรงแรมแบบให้เช่าเป็นรายชั่วโมง รายวัน หรือรายเดือน ขาดธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งไป ก็ส่งผลกระทบต่อธุรกิจอื่นๆที่อยู่ในซอยนั้นๆ ฉันคิดต่อไปว่าพัทยาคงจะขาดสีสัน และล่มสลาย หากพัทยาไม่มี "คนขายบริการ" เพราะคนขายบริการที่เป็นตัวแปรสำคัญของธุรกิจในเมืองพัทยา ซึ่งตามหลักเศรษฐศาสตร์เบื้องต้นคือ ธุรกิจจะสามารถอยู่รอดได้ต้องประกอบไปด้วย ผู้ซื้อ และผู้ขาย และคนขายบริการก็ทำหน้าที่ทั้งสองส่วนนี้ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเป็นกลุ่มคนที่มีส่วนช่วยธุรกิจน้อยใหญ่ในเมืองพัทยา

เมื่อคนขายบริการคือพระเอกในเมืองพัทยาแห่งนี้ เราจึงสามารถพบเห็นคนขายบริการ และการขายบริการแบบ 24/7 คือตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงแบบไม่มีวันหยุด การขายบริการก็มีหลายรูปแบบ เพื่อตอบสนองกลุ่มคนซื้อบริการที่มีความหลากหลาย ดังนั้นเราจึงเห็นคนขายบริการทั้งที่เป็นผู้หญิง ผู้ชาย เกย์ กะเทย และคนอื่นๆที่ให้นิยามตัวตนทางเพศของตนต่างออกไป การจัดสรรพื้นที่ก็น่าสนใจไม่น้อย เพราะเราจะพบว่าพื้นที่บางพื้นที่เป็นพื้นที่ของสถานประกอบการและผับบาร์ของกลุ่มชายรักชาย หรือเกย์ ในขณะที่บางพื้นที่ก็จะเน้นเฉพาะผับบาร์ผู้หญิงเพื่อเหล่านักท่องเที่ยวชายทั้งนักเที่ยวราตรีวัยฉกรรจ์จนไปถึงนักเที่ยวรุ่นเดอะ

พัทยาจึงเป็นเมืองพิเศษที่มีเสน่ห์ในสายตาฉัน เป็นเมืองที่คนหลายกลุ่มพึ่งพาอาศัยกัน และเป็นเมืองที่กลุ่มคนที่มักจะถูกลืมไปว่าเป็นสมาชิกในสังคมไทย ได้มีพื้นที่ลืมตาอ้าปาก และเปิดเผยตัวตนอย่างสง่างาม อย่างไรก็ตามพัทยาก็ยังเป็นเหมือนเมืองใหญ่อื่นๆ ที่ยังมีปัญหาสังคมมากมาย เนื่องจากฉันเคยอยู่พัทยามาเกือบสามปี และได้แวะเวียนไปพัทยาทุกครั้งที่มีโอกาส ฉันคิดว่าปัญหาสำคัญปัญหาหนึ่งที่ฉันมองในฐานะคนใน คือ ปัญหาการเอารัดเอาเปรียบกลุ่มคนที่เป็นรอง ด้วยเพศ ฐานะ ชนชั้น อาชีพ และตัวตนทางเพศ เช่น คนขายบริการหลายคนทั้งชายหญิงยังคงเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลตัวเองโดยที่รัฐและนายจ้างไม่เคยเหลียวแล เพราะการขายบริการไม่ถือเป็นอาชีพ คนขายบริการที่ทำงานตามบาร์ไม่มีสวัสดิการ โบนัส หรือค่าล่วงเวลา ฉะนั้นวันหยุดของพวกเขาหรือเธอเหล่านั้นคือวันที่ไม่มีรายได้ และต้องใช้เงินที่หามาได้จากวันทำงานมาเลี้ยงปากท้องของตัวเอง และครอบครัว คนขายบริการหลายคนถูกบังคับ และแรงกดดันทั้งทางตรงและทางอ้อมจากนายจ้าง กลุ่มเพื่อนที่ทำอาชีพเดียวกัน และวัฒนธรรมพื้นที่ ให้ทำศัลยกรรมโดยไม่เคยรู้ถึงความเสี่ยงจากการทำศัลยกรรม หรือไม่มีข้อมูลเพียงพอในการตัดสินใจทำศัลยกรรมในแต่ละครั้ง

คนขายบริการหลายคนไม่มีสถานประกอบการรับรอง ก็ต้องทำงานไร้สังกัด ที่มักจะเสี่ยงต่อการโดนจับโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ และหลายครั้งฉันพบว่าคนขายบริการไร้สังกัดเหล่านี้คือ กะเทย หรือ สาวประเภทสอง การจับกะเทยจึงเป็นพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น และหนังสือพิมพ์ระดับประเทศอยู่บ่อยครั้ง และหลายครั้งการเป็น "กะเทย" ก็เป็นเป้าหมายการจับกุมของเหล่าเจ้าหน้าที่พิทักษ์สันติราษฎร์ ฉันยังจำได้ถึงเรื่องเล่าของคณะกรรมการสิทธิฯท่านหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน สมัยที่ฉันยังทำงานกับองค์กรไม่แสวงหากำไรในพื้นที่ ท่านได้เล่าว่าท่านไปพูดคุยกับเหล่าตำรวจท่องเที่ยวที่ทำหน้าที่บริการนักท่องเที่ยวในเมืองพัทยา ท่านถามถึงเหตุผลของการจับกะเทยเพื่อเรียกค่าปรับ มีอาสาสมัครตำรวจท่องเที่ยวนายหนึ่งเปรยว่า "พัทยามีการจับกะเทยมานานแล้ว ทำมานานถึง 17 ปี" และแน่นอนว่าการจับกะเทยเพื่อเรียกค่าปรับยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด เพราะการจับกะเทยได้กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ไม่ได้ถูกเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรในรายละเอียดงานของตำรวจ ตำรวจท่องเที่ยว และอาสาสมัครตำรวจไปเสียแล้ว




เมื่ออาชีพขายบริการยังคงเป็นเรื่องผิดกฎหมายในประเทศที่การขายบริการมีทั่วทุกแห่ง ทั้งในจังหวัดเล็กไปจนถึงจังหวัดใหญ่ คนขายบริการนำรายได้เข้าประเทศไทยจำนวนมหาศาลจากนักท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศ ที่เข้ามาเที่ยวในประเทศไทยเพื่อใช้บริการจากคนขายบริการเหล่านี้ กะเทยที่ทำอาชีพขายบริการก็เป็นส่วนหนึ่งของคนที่นำรายได้เข้าประเทศเช่นกัน แต่การเป็นกะเทยในพัทยาต้องเสี่ยงต่อการโดนจับเรียกค่าปรับจากผู้มีอำนาจ และหน้าที่ในการช่วยคุ้มครองพลเมืองและคนในชุมชน กะเทยหลายคนจึงต้องทำงานแบบวัดดวง นั้นคือ วันไหนดวงดีก็ได้งานและมีเงินเลี้ยงปากท้อง วันไหนดวงซวยก็โดนตำรวจจับเรียกค่าปรับ งานก็ไม่ได้ และก็ต้องมาเสียเงินให้กับข้อหาที่ตัวเองไม่ได้ก่อ เช่น ข้อหาการสร้างความเดือดร้อนให้นักท่องเที่ยว ที่มักจะเป็นข้อหาที่ถูกเขียนในใบเสียค่าปรับเป็นหลักฐานมอบให้หลังจากจ่ายเงินจำนวนหลายร้อยบาทให้ตำรวจ บางครั้งข้อหาในใบเสียค่าปรับก็แตกต่างกันออกไปตามแต่วาระ ซึ่งกะเทยหลายคนรู้ดีว่าข้อหาเดียวที่ทำให้พวกเธอโดนจับแต่ไม่เคยถูกเขียนในใบเสียค่าปรับ คือ "การที่พวกเธอเป็นกะเทย" นั่นเอง

เมื่อเปรียบเทียบกับคนขายบริการผู้หญิงที่มักมีทางเลือกมากกว่าในการทำงานภายใต้สังกัดสถานประกอบการต่างๆ กะเทยจึงต้องเลือกระหว่างทำงานไร้สังกัดตามท้องถนน หรือทำงานตามผับบาร์ หรือในสถานประกอบการที่รับกะเทยเข้าทำงาน ซึ่งก็มีจำนวนไม่มากนัก ดังนั้น ปรากฏการณ์การจับปรับกะเทยจึงต้องมองให้เห็นรากของปัญหา ที่คนทั่วไปมองในส่วนที่เห็นได้ง่ายที่สุด และให้เหตุผลว่า "เพื่อความผาสุกของคนในชุมชน" โดยหลงลืมไปว่า "คนขายบริการ" ไม่ว่าจะเพศไหน คือสมาชิกของชุมชน และพลเมืองของเมืองพัทยา ที่เศรษฐกิจของเมืองเล็กๆนี้ถูกขับเคลื่อนโดยการขายบริการ หลายครั้งคนทั่วไปมองแบบเหมารวมไปว่าการจับกะเทยเป็นการแก้ปัญหาอาชญากรรม ฉันกลับมองว่าการแก้ปัญหาอาชญากรรมโดยการจับกะเทย "ทุกคน" เป็นปัญหาสังคม เป็นการตีตรากะเทยหลายคนที่ไม่ได้ทำความผิด นอกจากการขายบริการเพื่อเลี้ยงตัวเอง และส่งเสียครอบครัว ซึ่งการขายบริการยังถือว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมายในกฎหมายไทย และเป็นเรื่องที่ดูเหมือนว่าคนอีกจำนวนมากในเมืองพัทยาเป็นผู้มีส่วนได้เสียกับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการขายบริการทั้งทางตรงและทางอ้อม

การจับกะเทยเพื่อป้องกันปัญหาอาชญากรรมควรเป็นเรื่องที่ถูกตั้งคำถามถึงความสามารถของเจ้าหน้าที่รักษาสันติราษฎร์ และบริการประชาชน เพราะสำหรับฉัน ฉันคิดว่า กะเทยในฐานะคนไทยคนหนึ่งไม่ควรได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างด้วยเหตุแห่งความเป็นเพศของตน จากเจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าที่บริการประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียมและเสมอภาค ภายใต้กฏหมายที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญของไทยที่ควรคุ้มครองประชาชนไทยทุกคนอย่างเท่าเทียมไม่ว่าพวกเขาจะเป็นตำรวจ คนขายบริการ หรือ กะเทย    

บางทีฉันก็สงสัยว่า การจับคนขายบริการ และ กะเทย คือ การแก้ปัญหาอาชญากรรม หรือ การหาผลประโยชน์ ?!?!? ในพื้นที่พัทยา ที่ความมืดและความสว่างเป็นเรื่องแยกออกจากกันได้ยาก




ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

5 เหตุผลทำไมเราจึงต้องพูดเรื่องการเปลี่ยนคำนำหน้านามของหญิงและชายข้ามเพศ (ในประเทศไทย)

ทำไมเราจึงต้องมาพูดเรื่องการเปลี่ยนคำนำหน้านามของหญิงและชายข้ามเพศ: 1. เพราะเพศไม่ได้จำกัดแค่ชายและหญิง ประเทศไทยได้รับการยอมรับจากนานาชาติว่าเป็นประเทศที่ให้การยอมรับกับคนที่มีความหลากหลายทางเพศในเชิงสังคมวัฒนธรรม ถึงขั้นคนต่างชาติยกย่องให้เป็น "the paradise of LGBT" หรือ ''สวรรค์ของเกย์ ชายรักชาย กะเทย คนข้ามเพศ ทอมดี้ หญิงรักหญิง และคนรักสองเพศ" ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะเปลี่ยนผ่านจากการยอมรับเชิงสังคมวัฒนธรรมเป็นการยอมรับเชิงกฎหมายเพื่อสร้างความเท่าเทียมให้กับคนทุกเพศในสังคมไทย 2.การเปลี่ยนคำนำหน้านามของคนข้ามเพศในเอกสารราชการไม่ได้เป็น "สิทธิพิเศษ" น้อยครั้งมากที่บุคคลที่นิยามตัวเองว่าชายหรือหญิงจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ตนถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่อง "ตัวตนทางเพศ" ของตนเองจากเจ้าหน้าที่ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง (ในต่างประเทศ) และบุคคลทั่วไป เพราะตัวตนทางเพศไม่ได้ดูขัดแย้งกับคำนำหน้านามในบัตรประชาชน หนังสือเดินทาง และเอกสารสำคัญทางราชการ ในทางตรงกันข้าม กะเทย และคนข้ามเพศจะต้องตอบคำถามจากคนอีกจำนวนมากถึงความเป็นเพศ ตัวตนทา...

หยุด "กลัว" กะเทย

“เกิดเป็นกะเทยเสียชาติเกิด” “กรรมเก่า … ทำความดีในชาตินี้จะได้เกิดเป็นชายจริงหญิงแท้ในชาติหน้า” “กะเทยควาย กะเทยหัวโปก กะเทยลูกเจี๊ยบ …” “กะเทยห้ามบวช ห้ามเป็นทหาร ห้ามเป็นหมอ ห้ามเป็นครูอาจารย์ ห้ามแต่งหญิงในที่ทำงาน!!!” “กะเทยต้องแต่งหน้า ทำผมเก่ง เต้นเก่ง และ “โม๊ก” เก่ง … ต้องตลก และมีอารมณ์ขัน” ฉันเชื่อว่ากะเทยหลายคนเติบโตมากับเสียงสะท้อนเหล่านี้จากสังคม คนรอบข้าง และจากเพื่อนกะเทยด้วยกัน หลายครั้งชีวิตของคนคนหนึ่งไม่ได้มีอิสระในการเลือกตามความเข้าใจของพวกเรา เมื่อ “ความเป็นเรา” ถูกทำให้เป็นอื่น หรือ “แปลก” และ “แตกต่าง” ความเป็นเราจึงถูกจำกัดทำให้บางครั้งคนคนหนึ่งไม่สามารถเลือกได้ว่า จะใช้ชีวิตแบบใด หรือมีความสนใจในเรื่องใด เพราะเขาหรือเธอไม่อยาก “แปลก” หรือให้ใครเห็นว่าพวกเขา“ต่าง” จากคนอื่นๆ เมื่อการเป็นกะเทยถูกทำให้เป็นเรื่อง “แปลก” ในสังคมไทยที่พร้อมจะตัดสินความแปลกเป็นความ“ผิด” หรือ “ผิดปกติ” เสียงสะท้อนจากสังคม คนรอบข้าง รวมถึงกะเทยคนอื่นๆ จึงจำกัดจินตนาการ และวิถีชีวิตที่หลากหลายของการใช้ชีวิตเป็นมนุษย์ นอกจากนี้การตัดสินว่ากะเทยคนหนึ่งต้องทำหรือไม่ทำอ...

ถ้าวันหนึ่ง...

ถ้าวันหนึ่ง... ประชากรส่วนใหญ่บนโลกเป็นเกย์กะ เทยทอมดี้ ... คนรักต่างเพศจะเป็นคนกลุ่มน้อย ผู้ปกครองประเทศส่วนใหญ่เป็นผู้ หญิง ผู้ชายสามารถท้องแทนภรรยาด้วยนว ัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ ห้องน้ำไม่แยกหญิงชาย แต่เป็นห้องน้ำ Unisex ที่ใครเพศใดจะเข้าก็ได้  คนสามารถเลือกเพศได้ในเอกสารทาง ราชการ ... เลือกที่จะเป็นนางสาวหรือนางก็ไ ด้เมื่อแต่งงาน ใครจะแต่งงานกับใครก็ได้ เรื่องความรักเป็นเรื่องของคนสอ งคน ศาสนาจะไม่ใช่เหตุผลของการทำสงค ราม ระบบการศึกษาจะมีบทเรียนเรื่องเ พศสำหรับเยาวชน ที่ครอบคลุมไปถึงเรื่องความเป็น เพศที่หลากหลาย ครูอาจารย์จะไม่ใช่ศูนย์กลางของ การเรียนการสอน แต่การศึกษาเป็นการสร้างการมีส่ วนร่วมของผู้เรียนและผู้สอน โดยผู้เรียนมีส่วนช่วยคิดแผนการ เรียน การนับถือศาสนาเป็นทางเลือก ศาสนาจะไม่ใช่เครื่องมือตัดสินค วามผิดถูก แต่เป็นสถาบันที่ช่วยพัฒนาความเ ป็นมนุษย์ และจิตวิญญาณของมนุษย์เพื่อนำไป สู่ความผาสุกของสังคม ประชาชนสามารถมีความคิดเห็นแตกต ่างทางการเมือง รัฐจะมีพื้นที่สำหรับคนที่เห็นต ่างได้แสดงออก (การเมืองแบบสองขั้วต่างเป็นการ เมืองที่ไม่สร้างสังคมประชาธิปไ ตย) ระบบสาธา...