ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

พลังเยาวชนกะเทย

คิดย้อนกลับไปสมัยที่วันเด็กเป็นหนึ่งในวันสำคัญที่สุดของชีวิต วันเด็กเป็นวันที่เด็กหลายคนจะต้องไปธนาคารออมสินเพื่อรับของขวัญเป็นกระปุกออมสินราคาถูกๆ แต่ดีใจราวกับถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง วันเด็กที่เด็กบางคนจะต้องไปแสดงความสามารถต่างๆในงานวันเด็กของจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นการประกวดร้องเพลง แข่งวาดภาพ แข่งคัดลายมือ แข่งอ่านออกเสียงบทร้อยแก้วหรือร้อยกรอง ตามรายการแข่งขันสาระพัดนับไม่ถ้วนที่จัดหามาเพื่อให้เด็กเก่งมาแสดงความสามารถ อีกเรื่องหนึ่งที่พอจะจำได้คือ วันเด็กเป็นวันที่เราต้องจำคำขวัญที่ถูกแต่งขึ้นมาโดยนายกรัฐมนตรีเพื่อใช้ในวันเด็กประจำปีของแต่ละปี และคำขวัญเหล่านี้ก็ดูเหมือนจะคล้ายกันทุกปี คือ เป็นเด็กต้องเป็นเด็กดี มีวินัย ใฝ่การศึกษา หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง ประหนึ่งว่าชีวิตของเด็กคนหนึ่งจะผูกผันกับเรื่องราวเพียงไม่กี่เรื่องเท่านั้น ดังนั้นความเป็นเด็กในมายาคติแบบไทย จะหลงลืมเด็กจำนวนหนึ่งที่มีวิถีชีวิตที่ไม่สอดคล้องกับความเชื่อว่าเด็กไทยต้องอยู่ในพื้นที่โรงเรียนและบ้านเท่านั้น เด็กไทยจะต้องกตัญญูเชื่อฟังพ่อแม่ และ เด็กไทยทั้ง "เด็กชาย" และ "เด็กหญิง" จะเป็นอนาคตของประเทศต่อไป   

สำหรับฉัน วันเด็กจึงเป็นวันที่ความสนุกมาพร้อมกับความรู้สึกกลัว เพราะกะเทยเด็กแบบฉันไม่เห็นว่าการเป็นอนาคตของชาติจะสำคัญอย่างไร ในเมื่อคนรอบข้างปฏิเสธหรือไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ฉันเป็น แบบเรียนและคนรอบข้างไม่ได้สอนว่าการเป็นกะเทยจะต้องเป็นกันอย่างไร และฉันยังคงต้องปิดบังตัวตนที่ฉันเป็นกับพ่อแม่พี่น้องและญาติมิตร ร้ายยิ่งไปกว่านั้น คือ หนังสือแบบเรียน อาจารย์ รวมถึงคนรอบข้าง ยังคิดว่าการเป็นกะเทยเป็นเรื่องผิดปกติ และความผิดปกตินั้นเป็นปัญหาสังคม ความเชื่อเช่นนี้จึงทำให้ความคิดในเรื่องการเติบโตมาเป็นอนาคตของชาติ เป็นเรื่องไกลตัวสำหรับกะเทยเด็กหลายๆคน ที่อยู่ในประเทศที่ความประนีประนอมต่อเพศทางเลือกเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา เพื่อใช้หลอกชาวต่างชาติเท่านั้น 

ดังนั้นการเป็นกะเทยเด็กในสังคมไทยจึงอาจจะเป็นเรื่องหวานอมขมกลืนที่ใครไม่เป็นกะเทยเด็กไม่สามารถรับรู้ได้ ฉันมักจะเห็นตามหน้าเฟซบุ๊คของเพื่อนทั้งที่ฉันรู้จักและไม่รู้จักหลายคน มีการโพสภาพหรือวีดีโอการแสดงของกะเทยเด็ก คำอธิบายภาพหรือวีดีโอเหล่านั้นก็เขียนในเชิงล้อเลียน ขบขัน หรือ ชื่นชมแตกต่างกันออกไปตามความคิดของแต่ละคน ซึ่งฉันไม่เคยมองภาพหรือวีดีโอเหล่านั้นเป็นเรื่องขำขันแต่อย่างใด เพราะในความตลกอาจจะแฝงด้วยการกดทับและอคติต่อกะเทยเด็กโดยตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ ที่สำคัญทำให้เราเห็นภาพวิถีชีวิตของกะเทยเด็กเพียงการเป็นมนุษย์ที่ไร้สาระ ตลก และสนุกสนานเพียงเท่านั้น ส่งผลต่อการสร้างมายาคติต่อการเป็นกะเทย ที่มองความสามารถของกะเทยเด็กอย่างจำกัด และความสามารถเหล่านั้นก็ไม่ได้เป็นทักษะที่โดดเด่นพอจะมาพัฒนาประเทศ   

ฉันมองปรากฏการณ์การที่กะเทยเด็กจะออกมาแต่งตัวถ่ายภาพลงโซเชียลมีเดีย เป็นเชียร์ลีดเดอร์ในงานกีฬาสีโรงเรียน อัดคลิปเต้นลิปซิ้งเพลงดัง ออกมาพูดผ่านสื่อออนไลน์ต่างๆ เป็นการปฏิวัติทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง เพราะการแสดงออกเหล่านั้นคือการสื่อสารให้เพื่อนร่วมสถาบันการศึกษา คนในชุมชน และเหล่าผู้นำของประเทศได้รับรู้ว่า "เฮ้...เราอยู่ตรงนี้ เรามีตัวตน และเราเป็นสมาชิกของสังคมไทย" เนื่องจากพื้นที่ทางสังคมที่จำกัดต่อการแสดงออกของกะเทยเด็ก ทำให้กะเทยเด็กหลายคนไม่สามารถเปิดเผยตัวตนของตนเองในทุกพื้นที่ ดังนั้น สนามวอลเลย์บอลในโรงเรียนหนึ่งอาจจะเป็นเพียงพื้นที่เดียวที่เรามักเห็นการรวมกลุ่มของกะเทย หรือในสถาบันติวเตอร์ที่มีผู้สอนเป็นคนที่มีความหลากหลายเพศ หรือโลกของโซเชียลมีเดียที่กะเทยเด็กไม่ต้องเผชิญความรุนแรงทางกายและวาจาแบบเผชิญหน้า จากคนที่ไม่เข้าใจในวิถีชีวิตของความเป็นกะเทยและความเป็นเด็ก และบ่อยครั้งความรุนแรงเหล่านั้นเกิดใกล้ตัวจากคนในครอบครัว และครูอาจารย์ในโรงเรียน  

ดังนั้น กะเทยเด็กจะต้องเรียนรู้ทักษะการเอาตัวรอดนอกตำราเรียนในช่วงของการเติบโตเป็นวัยรุ่น ทักษะที่ไม่มีในวิชาสุขศึกษาหรือเพศศึกษา เพราะวิชาสุขศึกษาเป็นวิชาสำหรับเด็กหญิงและชาย วิชาภาษาไทยที่ไม่เคยมีตัวละครกะเทยในวรรณคดีไทย ประหนึ่งความเป็นกะเทยไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมไทย วิชาสังคมศึกษาที่เพิกเฉยต่อความรู้เรื่องกฎหมายที่คุ้มครองสิทธิฯของกะเทยในตำราเรียน วิชาพุทธศาสนาที่อาจจะยังสอนเรื่องการเกิดมาเพื่อชดใช้กรรมของคนที่เป็นกะเทย ฯลฯ ตำราเรียนแทบจะไม่มีประโยชน์เมื่อกะเทยเด็กต้องเผชิญหน้ากับความคาดหวังของผู้ใหญ่หลายคนเรื่องการเป็นเด็ก "ชาย" ที่ดี แต่ "กะเทย" ที่ดีเป็นสิ่งที่ไม่ได้ถูกสอน และเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครคาดหวัง การเป็นกะเทยจึงเป็นการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ส่วนตัว ร่วมกับเพื่อนร่วมทางที่เป็นกะเทยในวัยเดียวกันเท่านั้น

เมื่อเติบโตขึ้นในสังคมที่เต็มไปด้วยปัญหาการแบ่งแยกและตีตราต่อกะเทย กะเทยเด็กบางคนจึงเติบโตมาพร้อมกับจินตการที่จำกัด นั้นคือ ความฝันที่ยิ่งใหญ่เพียงความฝันเดียว คือการเห็นตัวเองเติบโตเป็นผู้หญิง และได้รับการยอมรับจากคนรอบข้าง และจากสังคมที่พวกเธออยู่ โดยไม่เคยตั้งคำถามเลยว่าพวกเธอจะต้องสูญเสียอะไรไปบ้างระหว่างทางเดินเพื่อตามหาความฝันนั้น เช่น การทานยาคุมกำเนิดโดยไม่เคยทราบเลยว่าจะมีผลข้างเคียงอย่างไรกับตัวเอง และ การเติบโตมาพร้อมข้อจำกัดเรื่องการหางานทำ กะเทยบางคนโชคดีมีพื้นฐานทางสรีระหน้าตาก็ไปประกวดตามเวทีดัง บางคนมีโอกาสได้เรียนจนจบระดับอุดมศึกษา แต่สุดท้ายก็พบว่าตัวเองหางานทำลำบากเพียงเพราะพวกเธอเป็นตัวของตัวเอง สังคมไทยยังคงเป็นสังคมที่ปิดตาข้างเดียว เนื่องจากเปิดโอกาสให้มีการประกวดนางงามสาวประเภทสองที่โด่งดังระดับโลก แต่กะเทยไทยจำนวนมากยังคงถูกปิดกั้นโอกาสในการทำงาน ปัจจัยเหล่านี้สร้างความกลัวและแรงกดดันกับกะเทยเด็กที่ฝันจะเห็นตัวเองเป็นหมอ วิศวกร ทนายความ ศาลตุลาการ ครูบาอาจารย์ เพียงเพื่อพบว่าความฝันของพวกเธอเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้

สำหรับกะเทยที่ผ่านช่วงวัยเด็ก และสามารถเดินทางตามฝัน ได้ประกอบอาชีพตามฝันของตน ฉันเชื่อว่าพวกเธอจะต้องมีพลังใจมหาศาลที่นำพวกเธอให้ก้าวผ่านอุปสรรคมากมาย มาอยู่ในจุดที่พวกเธอยืนอยู่ในปัจจุบัน การทลายมายาคติทางสังคมที่มีต่อความเป็นกะเทยของพวกเธอเป็นเรื่องที่ไม่ได้ทำได้ง่าย เพราะพวกเธอต้องพิสูจน์ตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า และการพิสูจน์ตัวเองก็มาพร้อมกับราคาที่ไม่สามารถตีเป็นค่าเงินได้ เพราะบางครั้งสิ่งที่พวกเธอกำลังเสี่ยงเพื่อการสร้างการยอมรับในตัวตนของพวกเธอกับคนสำคัญรอบข้าง คือ "ชีวิตและจิตวิญญาณ" ของพวกเธอเอง ฉันคิดว่าถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยต้องเปิดพื้นที่การเรียนรู้เรื่องการเป็นกะเทย และสร้างความรู้ความเข้าใจที่ปราศจากอคติและการตีตราต่อกะเทย เพื่อเป็นพื้นฐานทางสังคมที่จะนำไปสู่การยอมรับต่อกะเทย ที่เป็นทั้งลูก พี่ น้อง ญาติ เพื่อน คนในชุมชน สังคม และพลเมืองของประเทศ ที่ควรจะมีสิทธิเท่าเทียมกับพลเมืองชายหญิงในสังคมไทย 

ฉันไม่สามารถคาดเดาได้ว่าสังคมไทยจะเปิดพื้นที่ทางสังคมให้กับกะเทยมากน้อยแค่ไหนในอนาคต แต่สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้จากประสบการณ์ชีวิต คือ สังคมไทยได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เมื่อมองย้อนกลับไปในเวลาที่ฉันเรียกตัวเอง หรือถูกเรียกว่า "กะเทยเด็ก" ฉันเดินทางมาครึ่งชีวิตในฐานะนักต่อสู้เรื่องสิทธิฯกะเทยคนหนึ่งด้วยความเชื่อที่ว่า "คลื่นลูกใหม่จะกลบทับคลื่นลูกเก่า" และฉันรู้ว่าความฝันของฉันจะเป็นความจริงอย่างแน่นอน เพราะกะเทยเด็กหลายคนกำลังต่อสู้เพื่อทลายมายาคติของสังคมต่อความเป็นกะเทย พวกเธอกำลังช่วงชิงพื้นที่ที่มีอยู่อย่างจำกัด เพื่อแสดงตัวตนที่พวกเธอเป็น และแน่นอนว่าพวกเธอมีความฝันและความหวังเช่นเดียวกับเด็กคนอื่นๆ 

สังคมไทยกำลังขยับอย่างช้าๆจากพลังของความฝันและการต่อสู้ของพวกเธอ ... พลังเยาวชนกะเทยจึงเป็นพลังที่จะช่วยขับเคลื่อนสังคมไทยให้กลายเป็นสังคมที่มีความเท่าเทียมและความเสมอภาคกับคนทุกเพศ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

5 เหตุผลทำไมเราจึงต้องพูดเรื่องการเปลี่ยนคำนำหน้านามของหญิงและชายข้ามเพศ (ในประเทศไทย)

ทำไมเราจึงต้องมาพูดเรื่องการเปลี่ยนคำนำหน้านามของหญิงและชายข้ามเพศ: 1. เพราะเพศไม่ได้จำกัดแค่ชายและหญิง ประเทศไทยได้รับการยอมรับจากนานาชาติว่าเป็นประเทศที่ให้การยอมรับกับคนที่มีความหลากหลายทางเพศในเชิงสังคมวัฒนธรรม ถึงขั้นคนต่างชาติยกย่องให้เป็น "the paradise of LGBT" หรือ ''สวรรค์ของเกย์ ชายรักชาย กะเทย คนข้ามเพศ ทอมดี้ หญิงรักหญิง และคนรักสองเพศ" ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะเปลี่ยนผ่านจากการยอมรับเชิงสังคมวัฒนธรรมเป็นการยอมรับเชิงกฎหมายเพื่อสร้างความเท่าเทียมให้กับคนทุกเพศในสังคมไทย 2.การเปลี่ยนคำนำหน้านามของคนข้ามเพศในเอกสารราชการไม่ได้เป็น "สิทธิพิเศษ" น้อยครั้งมากที่บุคคลที่นิยามตัวเองว่าชายหรือหญิงจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ตนถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่อง "ตัวตนทางเพศ" ของตนเองจากเจ้าหน้าที่ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง (ในต่างประเทศ) และบุคคลทั่วไป เพราะตัวตนทางเพศไม่ได้ดูขัดแย้งกับคำนำหน้านามในบัตรประชาชน หนังสือเดินทาง และเอกสารสำคัญทางราชการ ในทางตรงกันข้าม กะเทย และคนข้ามเพศจะต้องตอบคำถามจากคนอีกจำนวนมากถึงความเป็นเพศ ตัวตนทา...

หยุด "กลัว" กะเทย

“เกิดเป็นกะเทยเสียชาติเกิด” “กรรมเก่า … ทำความดีในชาตินี้จะได้เกิดเป็นชายจริงหญิงแท้ในชาติหน้า” “กะเทยควาย กะเทยหัวโปก กะเทยลูกเจี๊ยบ …” “กะเทยห้ามบวช ห้ามเป็นทหาร ห้ามเป็นหมอ ห้ามเป็นครูอาจารย์ ห้ามแต่งหญิงในที่ทำงาน!!!” “กะเทยต้องแต่งหน้า ทำผมเก่ง เต้นเก่ง และ “โม๊ก” เก่ง … ต้องตลก และมีอารมณ์ขัน” ฉันเชื่อว่ากะเทยหลายคนเติบโตมากับเสียงสะท้อนเหล่านี้จากสังคม คนรอบข้าง และจากเพื่อนกะเทยด้วยกัน หลายครั้งชีวิตของคนคนหนึ่งไม่ได้มีอิสระในการเลือกตามความเข้าใจของพวกเรา เมื่อ “ความเป็นเรา” ถูกทำให้เป็นอื่น หรือ “แปลก” และ “แตกต่าง” ความเป็นเราจึงถูกจำกัดทำให้บางครั้งคนคนหนึ่งไม่สามารถเลือกได้ว่า จะใช้ชีวิตแบบใด หรือมีความสนใจในเรื่องใด เพราะเขาหรือเธอไม่อยาก “แปลก” หรือให้ใครเห็นว่าพวกเขา“ต่าง” จากคนอื่นๆ เมื่อการเป็นกะเทยถูกทำให้เป็นเรื่อง “แปลก” ในสังคมไทยที่พร้อมจะตัดสินความแปลกเป็นความ“ผิด” หรือ “ผิดปกติ” เสียงสะท้อนจากสังคม คนรอบข้าง รวมถึงกะเทยคนอื่นๆ จึงจำกัดจินตนาการ และวิถีชีวิตที่หลากหลายของการใช้ชีวิตเป็นมนุษย์ นอกจากนี้การตัดสินว่ากะเทยคนหนึ่งต้องทำหรือไม่ทำอ...

ถ้าวันหนึ่ง...

ถ้าวันหนึ่ง... ประชากรส่วนใหญ่บนโลกเป็นเกย์กะ เทยทอมดี้ ... คนรักต่างเพศจะเป็นคนกลุ่มน้อย ผู้ปกครองประเทศส่วนใหญ่เป็นผู้ หญิง ผู้ชายสามารถท้องแทนภรรยาด้วยนว ัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ ห้องน้ำไม่แยกหญิงชาย แต่เป็นห้องน้ำ Unisex ที่ใครเพศใดจะเข้าก็ได้  คนสามารถเลือกเพศได้ในเอกสารทาง ราชการ ... เลือกที่จะเป็นนางสาวหรือนางก็ไ ด้เมื่อแต่งงาน ใครจะแต่งงานกับใครก็ได้ เรื่องความรักเป็นเรื่องของคนสอ งคน ศาสนาจะไม่ใช่เหตุผลของการทำสงค ราม ระบบการศึกษาจะมีบทเรียนเรื่องเ พศสำหรับเยาวชน ที่ครอบคลุมไปถึงเรื่องความเป็น เพศที่หลากหลาย ครูอาจารย์จะไม่ใช่ศูนย์กลางของ การเรียนการสอน แต่การศึกษาเป็นการสร้างการมีส่ วนร่วมของผู้เรียนและผู้สอน โดยผู้เรียนมีส่วนช่วยคิดแผนการ เรียน การนับถือศาสนาเป็นทางเลือก ศาสนาจะไม่ใช่เครื่องมือตัดสินค วามผิดถูก แต่เป็นสถาบันที่ช่วยพัฒนาความเ ป็นมนุษย์ และจิตวิญญาณของมนุษย์เพื่อนำไป สู่ความผาสุกของสังคม ประชาชนสามารถมีความคิดเห็นแตกต ่างทางการเมือง รัฐจะมีพื้นที่สำหรับคนที่เห็นต ่างได้แสดงออก (การเมืองแบบสองขั้วต่างเป็นการ เมืองที่ไม่สร้างสังคมประชาธิปไ ตย) ระบบสาธา...